ออกสตาร์ทฟุตบอลโลก 2014 กับโพสต์ทูเดย์ และมาร์ค สุรเดช

ผม สุรเดช สันติเลิศประภพ ขอกราบสวัสดีทุกท่านที่ติดตามโพสต์ทูเดย์ มาตลอดและอยากจะขออนุญาติเริ่มต้นเข้ามาพบกับทุกท่านตรงพื้นที่ตรงนี้ตลอดช่วงเวลาของฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้ายที่จะหวดแข้งกันแล้วตั้งแต่คืนวันนี้เป็นต้นไป

คงไม่ต้องแนะนำอะไรกันมากแล้วนะครับว่าฟุตบอลโลกครั้งนี้จะเล่นกันทั้งหมด 32 ทีมในรอบสุดท้ายตลอดระยะเวลาระหว่างวันที่ 12 มิ.ย.-13 ก.ค. โดย บราซิล ชาติเจ้าภาพนั้นได้จัด 12 เมืองไว้รองรับการแข่งขันในครั้งนี้

แม้จะมีกระแสไม่เห็นด้วยจนถึงขั้นมีการออกมาสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายก่อนหน้าเป็นระยะๆ ทว่าคนบราซิเลี่ยนส่วนใหญ่ก็ยังอยากจะเห็นความสำเร็จของการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกครั้งนี้ทั้งในฐานะชาติที่รักฟุตบอลและพวกเขาก็ต้องการจะเห็นทีมชาติของตัวเองคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 6 เป็นชาติแรกของโลกด้วย

ประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลกที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี ค.ศ.1930 เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าสนใจ อย่างไรก็ดีมีเพียงไม่กี่ชาติเท่านั้นที่มีโอกาสได้สัมผัสกับโทรฟี่อันทรงเกียรติ เริ่มตั้งแต่การคว้าแชมป์ของ อุรุกวัย เมื่อปี 1930 หลังจากพวกเขาประกาศศักดาคว้าเหรียญทองในกีฬาโอลิมปิก เกมส์ ทั้งในปี 1924 และ 1928 ตามมาด้วยการเบิ้ลแชมป์ 2 สมัยติดต่อกันของ อิตาลี ในปี 1934 และ 1938 ก่อนที่สงครามโลกจะทำให้ฟุตบอลโลกต้องเว้นช่วงไป

อุรุกวัย หวนกลับมาเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 2 ในปี 1950 บนแผ่นดินบราซิล ก่อนที่จะเป็น เยอรมันตะวันตก ที่พลิกล็อกโค่นทีมที่แกร่งกว่าในเวลานั้นอย่าง ฮังการี คว้าแชมป์ปี 1954 และ 4 ปีต่อมานั่นเองที่ บราซิล ถึงจะคว้าแชมป์โลกครั้งแรกของพวกเขาได้สำเร็จเมื่อหลุดเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศด้วยนักเตะชั้นยอดในทีมมากมายอย่างการ์รินช่า, ดิดี้, วาว่า, เปเล่ และ มาริโอ ซากัลโล่

ในปี 1962 ที่ ชิลี เป็นเจ้าภาพ บราซิล ยังรักษาตำแหน่งแชมป์โลกของตัวเองเอาไว้ได้ด้วยนักเตะจากชุดแชมป์หนก่อน แต่พวกเขากลับมีอันต้องตกรอบไปอย่างรวดเร็วใน 4 ปีต่อมาที่ อังกฤษ รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพและในครั้งนี้เองที่ทีม “สิงโตคำราม” ภายใต้การนำทีมของ เซอร์ อัลฟ์ แรมซี่ย์ สามารถคว้าแชมป์โลกมาครองและยังเป็นการคว้าแชมป์เพียงหนเดียวในประวัติศาสตร์ของพวกเขามาจนถึงทุกวันนี้

ที่ เม็กซิโก ในปี 1970 บราซิล คว้าโทรฟี่ที่มีชื่อ จูลส์ ริเมต์ ไปเป็นกรรมสิทธิ์หลังจากถล่มคู่ชิงอย่าง อิตาลี ถึง 4-1 ในนัดชิงชนะเลิศ แต่จะมีใครเชื่อว่ากว่าที่พวกเขาจะกลับมาคว้าแชมป์อีกครั้งนั้นต้องรอไปอีกถึง 24 ปี

เยอรมันตะวันตก เล่นได้อย่างแข็งแกร่งและคว้าแชมป์สมัยที่ 2 เมื่อพวกเขาเป็นเจ้าภาพในปี 1974 และความสำเร็จของชาติเจ้าภาพยังคงเดินไปอย่างต่อเนื่องเมื่อ อาร์เจนติน่า ก็สามารถทำได้เช่นกันและยังเป็นการเอาชนะทีมๆเดียวกันอีกด้วยอย่าง ฮอลแลนด์ หรือ เนเธอร์แลนด์

อิตาลี ขึ้นมาทาบสถิติแชมป์ 3 สมัยของ บราซิล เมื่อพวกเขาได้แชมป์ในปี 1982 และ 4 ปีต่อมาที่ เม็กซิโก ได้สิทธิ์เสียบแทนในการเป็นเจ้าภาพแทนที่ โคลัมเบีย นั้น อาร์เจนติน่า สามารถคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 2 มาครองได้อย่างงงดงามภายใต้การบัญชาการเกมตรงกลางสนามของ “เสือเตี้ย” ดีเอโก้ มาราโดน่า

อิตาเลีย 90 แชมป์ตกเป็นของ เยอรมันตะวันตก เมื่อเอาชนะแชมป์เก่าด้วยลูกจุดโทษในช่วงท้ายเกม และทำให้ขุนพล “อินทรีเหล็ก” กลายเป็นชาติที่ 3 ที่คว้าแชมป์โลกได้ 3 สมัย

ยูเอสเอ 94 ที่ประสบความสำเร็จงดงามทั้งในและนอกสนามสำหรับเจ้าภาพ ตำแหน่งแชมป์นั้นเป็นของ บราซิล ที่ผ่าตัดรูปแบบการเล่นใหม่หันมาเน้นเกมรับที่มั่นคงมากขึ้น และ คาร์ลอส อัลเบอร์โต้ ปาร์ไรร่า นำแชมป์โลกสมัยที่ 4 มาให้กับแฟนๆบราซิลทั่วโลกได้สำเร็จ

ฝรั่งเศส กลายเป็นชาติใหม่ที่คว้าแชมป์โลกมาครองเมื่อพวกเขารับหน้าที่เป็นเจ้าภาพเองในปี 1998 และ ฝรั่งเศส ก็ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจเมื่อปิดท้ายด้วยการถล่ม “แชมป์เก่า” บราซิล ถึง 3-0 ในเกมนัดชิงที่ สต๊าด เดอ ฟร้องซ์

4 ปีต่อมาบนแผ่นดินเอเชีย บราซิล กลายเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 5 เมื่อเอาชนะ เยอรมัน 2-0 ที่โยโกโฮม่า เวิลด์ คัพ สเตเดี้ยม ก่อนที่ อิตาลี จะไล่ตามพวกเขามาติดๆเมื่อนักเตะ “อัซซูรี่” คว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 หลังยิงจุดโทษชนะ ฝรั่งเศส ในเกมที่ซีเนอดีน ซีดาน โดนไล่ออก

2010 คือหนแรกที่ฟุตบอลโลกมาจัดกันบนทวีปแอฟริกา และหนนี้เองที่แชมป์โลกได้เปลี่ยนมือไปสู่ สเปน ที่กลายเป็นทีมชาติยุโรปชาติแรกที่ออกมาคว้าแชมป์นอกทวีปได้สำเร็จ ตำแหน่งแชมป์ของสเปนนั้นสวนทางกับความผิดหวังหนที่ 3 ในนัดชิงชนะเลิศของเหล่านักเตะ “อัศวินสีส้ม” ฮอลแลนด์

และแชมป์ในปีนี้จะเป็นของทีมใดนั้น เชื่อว่าในใจของทุกท่านคงเริ่มจินตนาการกันไปบ้างแล้วว่าอยากจะเห็นใครผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศ หรือ คว้าแชมป์ในหนนี้ มาร่วมเชียร์, อัพเดตความเคลื่อนไหวต่างๆ และติดตามฟุตบอลโลก 2014 ไปพร้อมๆกันกับผม และ โพสต์ทูเดย์ นะครับ