นิวเคลียร์เพื่องานวิจัยไทยนับถอยหลัง5ปีส่อชะงัก

โดย....นิติพันธุ์ สุขอรุณ 

ประเทศไทยกำลังจะต้องปิดเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่องานวิจัยในอีก 5ปี ข้างหน้า หากยังไม่มีการให้ความสนใจพัฒนาและสนับสนุนด้านงบประมาณอย่างจริงจัง ผลที่เกิดขึ้นตามมาอาจกระทบต่อ การวิจัยทางด้านการแพทย์ ยาเวชภัณฑ์จะไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้ รวมถึงการฉายรังสีไปยังอัญมณีล้ำค่าเพื่อเพิ่มมูลค่าให้สูงขึ้น ฯลฯ ต้องยุติลงตามลำดับ

สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) จึงได้เดินทางมาศึกษาดูการทำงานของ โรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่องานวิจัย ในชื่อ HANARO researct ที่ประเทศเกาหลี โดยเตาปฏิกรณ์กำลังการผลิตอยู่ที่ 30 เมกะวัตต์ เพื่อศึกษาความก้าวหน้าก่อนนำความรู้ที่ได้ไปพัฒนาโรงปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในประเทศไทยต่อไป

สำหรับประเทศเกาหลี เริ่มต้นยุคของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เพื่องานด้านวิจัย มีขนาด200กิโลวัตต์ ชื่อ KRR-1 สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ.2502 ต่อมาก่อสร้างเครื่องที่ 2ในปีพ.ศ.2515 ชื่อ KRR-2ขนาด2เมกกะวัตต์ และในปัจจุบันได้รับการวางแผนอย่างเป็นระบบ ด้วยการพัฒนาเมืองเทจอน ให้เป็นเมืองแห่งวิทยาศาสตร์ ทำให้มีการก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์อีกเป็นเครื่องที่ 3 ชื่อ HANARO กำลังการผลิต ขนาด 30เมกกะวัตต์เริ่มเดินเครื่องเมื่อพ.ศ.2528

ทั้งนี้เครื่องปฏิกรณ์ HANARO คือการผลิตสารรังสีไอโอดีน -131 สำหรับตรวจวิจัยรักษามะเร็งไทรอยด์ และอิริเดียม-192 ใช้สำหรับงานถ่ายภาพด้วยรังสี และยังสามารถใช้กับการพัฒนาวัสดุกึ่งตัวนำ (Doping)ซึ่งนำมาใช้งานด้านการผลิตเหล็กในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิคอีกด้วย

ด้านการพัฒนาโรงไฟฟ้า ประเทศเกาหลีเริ่มก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ครั้งแรกเมื่อพ.ศ.2521 ชื่อ Kori 1ขนาด587 เมกกะวัตต์ปัจจุบัน มีโรงไฟฟ้านิวเคีลยร์ จำนวน23โรง มีกำลังการผลิตรวมทั้งสิ้น 20.5กิกะวัตต์ คิดเป็น 22%ของปริมาณไฟฟ้าที่ผลิตได้ จากพลังงานทุกประเภท อาทิ พลังงานลม พลังงานจากกระแสน้ำในเขื่อน พลังงานจากแสงอาทิตย์ รวมถึงพลังงานที่ก่อกำเนิดได้จากลูกคลื่นของน้ำทะเล

อย่างไรก็ตามได้มีการวางแผนเตรียมสร้างโรงไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีก 8โรง จะทำให้ได้กำลังการผลิตเพิ่มอีก 11.2กิกะวัตต์ คิดเป็น 35%ของกำลังการผลิตทั้งประเทศ ถือเป็นการวางรากฐานพลังงานที่ต้องจ่ายให้กับประชากรที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ จากการพัฒนาความรู้ด้านวิศวกรรมนิวเคลียร์มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกาหลีใต้มีเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัย ขนาด5เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ในประเทศจอร์แดน

นายสมพร จองคำ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (สทน.) กล่าวว่า สทน.จะผลักดันให้เกิดโครงการเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัยเครื่องใหม่ที่ใหญ่ขึ้น เพื่อทดแทนเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัย ปปว.-1/1 ซึ่งเป็นเครื่องเก่าที่มีขนาดกำลัง 2เมกกะวัตต์ อายุกว่า 50ปี ที่มีปัญหาด้านเชื้อเพลิงที่ใช้กับเครื่องปฏิกรณ์ไม่มีการผลิตออกมาในโลกอีกแล้ว หรืออีกไม่เกินระยะเวลา 5ปี เครื่องปฏิกรณ์จะต้องจำใจปิดตัวลงในที่สุด หากไม่มีการลงทุนพัฒนาเครื่องใหม่ที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน

ขณะที่ นางวรรณา วิมลวัฒนาภัณฑ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริการ สทน.  กล่าวว่า ถ้าประเทศไทยสามารถพัฒนาด้านนิวเคลียร์ จะเป็นประโยชน์ครอบคลุมในทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ เช่น งานด้านการเกษตร ด้านการแพทย์ ลดต้นทุนการผลิตยารักษาโรคโดยไม่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ความสามารถในการช่วยเหลือมนุษย์ เปรียบเหมือนคนที่ต้องการความช่วยเหลือจำนวน1แสนคน แต่สทน.สามารถให้ความช่วยเหลือได้เพียง 1หมื่นคนเท่านั้น ซึ่งมีคนไทยจำนวนมากที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนิวเคลียร์ แต่ต้องยกระดับการพัฒนาขึ้นอีกขั้น ด้วยงบระมาณถึง 6,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยหวังได้รับการช่วยเหลือทางด้านวิทยาศาสตร์จากผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเกาหลี พร้อมทั้งเตรียมจัดทำโครงการและแผนงานต่างๆเพื่อขออนุมัติจากรัฐบาลต่อไป เชื่อว่าโครงการเครื่องปฏิกรณ์ใหม่จะสามารถเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศได้เพิ่มขึ้น และยังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ในภูมิภาคอีกด้วย