posttoday

สงกรานต์รากเหง้าร้อยใจรวม'อินโดจีน'ไว้เป็นหนึ่งเดียว

15 เมษายน 2555

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ หลายคนคงถือโอกาสหยุดพักผ่อนคลายร้อน และพักสมองและความเหนื่อยล้า

โดย...พันธสิทธิ เจริญพาณิชย์พันธ์

ในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้ หลายคนคงถือโอกาสหยุดพักผ่อนคลายร้อน และพักสมองและความเหนื่อยล้าจากการทำงานที่เคร่งเครียดมาตลอดหลายเดือนลงยาวหลายวันติดกัน นอกจากนี้ ในช่วงเทศกาลดังกล่าวยังถือเป็นโอกาสอันดีที่หลายๆ คนจะได้ใช้ช่วงเวลาอันมีค่ากลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ พบปะกันในหมู่พี่น้องครอบครัวเดียวกัน ในโอกาสที่เป็นวันครอบครัว 14 เม.ย. ด้วย

ทว่า หลายๆ คนอาจจะยังไม่ทราบว่า เทศกาลสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยแต่ดั้งเดิมนั้น ไม่ได้มีขึ้นแค่เฉพาะแต่ในบ้านเราแห่งเดียวเท่านั้น แต่ในแถบประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ เรา อาทิ ลาว กัมพูชา พม่า ตลอดไปจนถึงชนเชื้อชาติไต ที่อยู่ในเวียดนาม ในมณฑลยูนนาน ของจีน และพื้นที่บางส่วนทางภาคตะวันออกของอินเดีย และศรีลังกา ก็มีเทศกาลเฉลิมฉลองดังกล่าวขึ้นพร้อมๆ กันกับที่บ้านเราเช่นกัน

ความคล้ายคลึงนี้ล้วนบ่งบอกได้ดี ถึงความเป็นมาที่ใกล้ชิดและคล้ายคลึงทางวัฒนธรรมของประชาชนในดินแดนแหลมทองสุวรรณภูมิ และดินแดนที่มีพื้นที่ใกล้เคียงที่มีร่วมกันมาแต่ครั้งโบราณกาล

และหากทำความเข้าใจถึงการเป็นมาของประเพณีสงกรานต์ในอดีต ก็จะยิ่งทำให้เข้าใจถึงความเป็นมาทางวัฒนธรรมที่มีอยู่ร่วมกันในอดีตกาลของกลุ่มประเทศในแถบแหลมทองสุวรรณภูมิ หรืออินโดจีน (Indochina) ซึ่งประกอบไปด้วย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ในปัจจุบันได้ดียิ่งขึ้น

สงกรานต์รากเหง้าร้อยใจรวม'อินโดจีน'ไว้เป็นหนึ่งเดียว

 

ประเพณีสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยนั้น ไม่ได้มีต้นกำเนิดจากประเทศไทย หรือเป็นประเพณีที่ผูกขาดอยู่ในไทยแต่เพียงแห่งเดียว แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ในอินเดีย และต่อมาได้ถูกนำมาเผยแพร่เข้ามายังดินแดนสุวรรณภูมิ ในช่วงประมาณปี พ.ศ. 500 โดยในช่วงเวลานั้น อาณาจักรขอมโบราณ หรือกัมพูชาในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ในยุครุ่งเรืองในขณะนั้น ได้รับเอาประเพณีดังกล่าวเอาไว้ โดยที่ไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค ก็ได้รับอิทธิพลดังกล่าวมาจากขอมโบราณต่ออีกทอดหนึ่ง ดังเห็นได้จากธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติต่างๆ ในราชสำนักของไทยที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบันส่วนใหญ่มักจะได้รับอิทธิพลจากขอมเป็นจำนวนมาก

แต่ก่อนที่ประเพณีสงกรานต์จะแพร่ หลายสู่ประชาชนคนทั่วไปในสุวรรณภูมินั้น เดิมทีเมื่อครั้งที่ขอมโบราณรับประเพณีดังกล่าวเอาไว้ ประเพณีสงกรานต์นั้นจะมีแค่ในเฉพาะราชสำนัก และชนชั้นสูงในสังคมสมัยนั้นเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีการสาดน้ำกันเอิกเกริกในหมู่คนทั่วไปกันเหมือนอย่างในปัจจุบัน และจะมุ่งเน้นไปในเรื่องของพิธีกรรมและความเชื่อทางศาสนาเป็นหลัก ซึ่งกว่าที่จะแพร่หลายไปสู่ประชาชนทั่วไปนั้น ก็อยู่ช่วงราวปี พ.ศ. 2000 เข้าไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในภาพรวมของเทศกาลสงกรานต์ที่มีขึ้นในแต่ละประเทศ จะมีลักษณะและรูปแบบของประเพณีที่คล้ายคลึงกัน อาทิ การสรงน้ำพระ เข้าวัดทำบุญ การรดน้ำขอพรจากผู้อาวุโส หรือคนที่นับถือ ตลอดไปจนถึงการสาดน้ำและอวยพรปีใหม่กัน แต่ด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยไป รวมถึงความแตกต่างทางด้านภาษาและวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละประเทศ และทัศนคติความเชื่อต่างๆ ก็ส่งผลให้ประเพณีสงกรานต์ในแต่ละประเทศ หรือแม้กระทั่งในพื้นที่ต่างๆ ของในแต่ละประเทศเอง ก็อาจจะมีความแตกต่างกันออกไปในรายละเอียดบ้าง

ดังเช่นที่ลาว ซึ่งเรียกสงกรานต์ของตนเองว่า “เทศกาลบุญปีใหม่ลาว” มีขึ้นช้ากว่าของไทย 1 วัน โดยจะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 14-16 เม.ย. และชาวลาวถือเอาวันที่ 16 เม.ย. เป็นวันขึ้นปีใหม่ของประเทศ สำหรับการละเล่นสาดน้ำที่ลาวนั้นถือว่าค่อนข้างสุภาพอ่อนโยนและอนุรักษ์ความเป็นวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้มากกว่าไทย เนื่องจากที่นี่มีกฎกติกาและการกวดขันจากเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเข้มงวดค่อนข้างมาก แต่ในภาพรวมก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับไทย เช่น การเข้าวัดทำบุญ และสรงน้ำพระ ตลอดไปจนถึงการสาดน้ำกันของคนหนุ่มสาวตามที่สาธารณะ

ด้านกัมพูชา ซึ่งมีชื่อเรียกเทศกาลสงกรานต์ของตนเองว่า “ซัวซะเดย ชะนำทะไม” หรือแปลออกมาได้ว่า “เทศกาลขึ้นปีใหม่เขมร” มีขึ้นในวันเดียวกับที่ลาว ระหว่างวันที่ 14–16 เม.ย. แต่จะมีความแตกต่างจากประเทศอื่นๆ คือ ก่อนหน้าที่จะถึงวันงาน 3 วัน ชาวกัมพูชามีความเชื่อถือกันว่าจะต้องเก็บกวาดบ้านให้สะอาด จัดโต๊ะหมู่บูชาเทวดา และช่วงเย็นก็จะช่วยกันขนทรายเข้าวัดเพื่อก่อเจดีย์ รวมถึงการช่วยกันเติมน้ำในตุ่มให้เต็ม และในวันสุดท้ายก่อนจะถึงวันเทศกาลในวันที่ 14 ชาวกัมพูชาก็จะนิมนต์พระสงฆ์มาสวดให้ศีลให้พรเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ขนทรายเข้าวัด หลังจากนั้นก็จะมีการสรงน้ำพระพุทธรูป และรดน้ำดำหัวขอพรจากญาติผู้ใหญ่ และการละเล่นสาดน้ำเหมือนกับไทย

ส่วนในพม่านั้น เทศกาลสงกรานต์ถือเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่มาก ถึงขนาดที่นิตยสารชื่อดังระดับโลกอย่าง ไทมส์ ออกมายกย่องให้เป็นช่วงเวลาที่น่าเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวในพม่ามากที่สุด

สำหรับชื่อเรียกในภาษาพม่าจะเรียกเทศกาลสงกรานต์ของตนเองว่า “ติงยาน” โดยทางการพม่าจะประกาศให้เป็นวันหยุดยาวติดต่อกันเป็นเวลาเกือบ 10 วัน โดยเริ่มจากวันที่ 12–20 เม.ย. แต่การละเล่นสาดน้ำนั้นจะมีเพียงแค่ 13-16 เม.ย.เท่านั้น นอกจากนั้นจะถือเป็นวันหยุดพักผ่อนทั่วไปเท่านั้น

ส่วนวันที่ 17 เม.ย.นั้น ทางการพม่าระบุให้เป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวพม่า สำหรับประเพณีการปฏิบัตินั้นชาวพม่าจะรวมกันไปในหมู่ญาติพี่น้องเพื่อไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ของตนเอง โดยที่เห็นกันทั่วไปคือ การไปตัดเล็บตัดผมให้ และในขณะเดียวกัน ญาติผู้ใหญ่ก็จะให้ศีลให้พรเป็นการตอบแทน

สงกรานต์รากเหง้าร้อยใจรวม'อินโดจีน'ไว้เป็นหนึ่งเดียว

 

นอกจากนี้ กลุ่มคนสูงอายุก็มักจะนิยมเข้าวัดถือศีล 8 กันในช่วงเทศกาลนี้กัน แต่ว่าจะยกเว้นให้ในเรื่องการกินน้ำกินขนมในตอนเย็น อีกทั้งในตอนเย็นประชาชนก็มักจะมีนิยมพากันมาปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อทำบุญในวัดอีกด้วย

ส่วนประเพณีสงกรานต์ของชาวไต ในมณฑลยูนนาน ของจีน และในเวียดนามนั้นจะมีชื่อเรียกเทศกาลสงกรานต์ว่า “โพสุ่ยเจี๋ย” หรือหากแปลออกมาจะได้ความหมายว่า เทศกาลสาดน้ำ สำหรับวันงานนั้นจะมีขึ้นเพียงแค่ 3 วัน ในระหว่าง 13-15 เม.ย. โดยวันที่ 13 เม.ย. ชาวไตในจีนและเวียดนาม จะมีการสรงน้ำพระพุทธรูป ส่วนวันที่ 14 เม.ย. ก็จะมีกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้านที่เหมือคนไทย เช่น การชนไก่ การขนทรายเข้าวัด ส่วนตอนกลางคืนก็จะมีการแห่ฟ้อนรำ ตามท่วงทำนองเพลงพื้นบ้านที่สืบทอดกันมาแต่ครั้งอดีตกาล

ขณะเดียวกัน ประเพณีสงกรานต์นั้น ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทศกาลที่มีขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองและเป็นวันที่ทุกคนได้หยุดพักจากการทำงาน รวมถึงการกลับไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ และผู้อาวุโสเท่านั้น แต่เทศกาลดังกล่าวยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างและช่วยสานสัมพันธ์ของประชาชนตามแนวชายแดนที่มีพรมแดนติดกับเพื่อนบ้านให้มีความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้นอีกด้วย โดยใช้ความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมมาเป็นสื่อกลางในการทำกิจกรรมร่วมกัน

เห็นได้จากการจัดงานประเพณีสงกรานต์ร่วมกันของชาวไทยและชาวลาว ในจังหวัดต่างๆ ที่มีพรมแดนติดกัน อาทิ ที่ จ.หนองคาย นครพนม และเลย เป็นต้น ซึ่งในพื้นที่จังหวัดเหล่านี้ก็จะมีการจัดงานร่วมกับพื้นที่จังหวัดที่อยู่ติดกันในประเทศลาวอย่างยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสนุกสนานครื้นเครง และยังมีการจัดกิจกรรมการละเล่นพื้นบ้าน การแสดงศิลปวัฒนธรรม ตลอดไปจนถึงการจัดการแข่งขันกีฬาพื้นบ้านร่วมกันอีกด้วย

นอกจากนี้ที่ จ.มุกดาหาร ก็มีการจัดงานที่ไม่ใช่แค่เพียงเฉพาะประชาชนไทย กับลาวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประชาชนในเวียดนามให้มาเข้าร่วมอีกด้วย โดยงานดังกล่าวเป็นงานประจำปีที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน โดยมีชื่อเรียกว่า “2 ฝั่งโขง 3 แผ่นดิน” โดยภายในงานก็จะมีตัวแทนจากแขวงสะหวันนะเขต จากลาว และจากจังหวัดกวางตรี ในเวียดนาม เข้าร่วมงานด้วย

ส่วนที่ อ.คลองใหญ่ จ.ตราด ก็มีการจัดงานประเพณีสงกรานต์ร่วมกับทางจังหวัดเกาะกง ของกัมพูชา ด้วยเช่นกัน โดยใช้ชื่องานว่า “สงกรานต์สีสัน 2 แผ่นดิน” ที่หาดบานชื่น ซึ่งภายในงานก็มีการสรงน้ำพระสงฆ์จากทั้งสองประเทศ และประเพณีการรดน้ำดำหัวขอพรจากผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย ในช่วงเย็น ซึ่งฝ่ายไทยนำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดตราด ขณะที่กัมพูชานำโดยผู้ว่าราชการจังหวัดเกาะกง

อีกทั้งยังมีการจัดงานแสดงศิลปวัฒนธรรมของจากประชาชนทั้งสองประเทศ ในงานดังกล่าวอีกด้วย งานประเพณีที่มีร่วมกันดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนและความร่วมมืออันดีจากทั้งภาคส่วน ของเอกชน และประชาชนในท้องที่เข้าร่วมอย่างแข็งขันอย่างยิ่ง

ต้องถือได้ว่า ความเป็นมาและรากฐานทางวัฒนธรรมของกลุ่มประเทศในแถบสุวรรณภูมินั้นมีความเป็นมาที่ใกล้เคียงกัน และจากการมีวัฒนธรรมร่วมที่สอดคล้องกันนี้เอง เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งพลังทางด้านสังคมและวัฒนธรรมที่จะช่วยสรรค์สร้างความเป็นประชาคมในหมู่สมาชิกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือประคมอาเซียนในปี 2558 ได้อีกทางหนึ่ง


 

 

ข่าวล่าสุด

จับตาประชุมอาเซียน ชี้ชะตาสงครามไทย–กัมพูชา จบหรือยืดเยื้อ