เจมส์ คาเมรอนผู้กำกับคนเหล็กระดับโลก
ประวัติ
เจมส์ ฟรานซิส คาเมรอน (James Francis Cameron) เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ 16 ส.ค. ปีค.ศ. 1954 ในเมืองคาปัสเคซิง (Kapuskasing) เมืองริมแม่น้ำชื่อเดียวกันในรัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา พ่อของเขาคือ ฟิลิป (Philip) คาเมรอน วิศวกรไฟฟ้า และแม่คือ เชอร์ลีย์ (Shirley) คาเมรอน นางพยาบาลและจิตรกร ครอบครัวของเขาเดินทางข้ามพรมแดนแคนาดามายังลงหลักปักฐานในฝั่งสหรัฐตั้งแต่ปีค.ศ. 1971 การย้ายบ้านครั้งแรกย้ายมาจากบ้านเกิดมาอยู่บริเวณน้ำตกไนแองการา ก่อนที่ต่อมาจะย้ายไปแถบเมืองเบรีย รัฐแคลิฟอร์เนีย
เจมส์ หรือที่พ่อแม่เรียกว่า จิม สนใจเกี่ยวกับเรื่องดาราศาสตร์ตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากจะชอบอ่านหนังสือนวนิยายแนววิทยาศาสตร์ไซไฟแล้ว เขายังฉายแววการเป็นนักเขียนเปี่ยมจินตนาการด้วยการลงมือเขียนเรื่องสั้นของตัวเองหลายเรื่อง เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นแนววิทยาศาสตร์ผจญภัยที่เขาชื่นชอบ ความที่คาเมรอนเป็นนักอ่านตัวยง ทำให้เขาดูมี ความคิดความอ่านเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กในวัยไล่เลี่ยกัน ความรู้ที่ได้จากหนังสือทำให้เขาสามารถย้ายห้องไปเรียนกับเด็กที่อายุมากกว่าได้ในชั้นเรียนที่สูงขึ้นหลังจากเข้าโรงเรียนได้ไม่นาน
เมื่ออายุได้ 9 ขวบ สมัยที่ภาพยนตร์เรื่อง คิงคองปะทะก๊อดซิลล่า (King Kong vs. Godzilla) ออกฉาย ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1960 คาเมรอนก็กลายมาเป็นแฟนคลับภาพยนตร์เรื่องนี้และเริ่มให้ความสนใจในการสร้างหนัง และฝังใจมากจนถึงขั้นเอาไปคุยโม้โอ้อวดกับเพื่อนร่วมชั้นว่าสักวันหนึ่งตัวเขาเองจะทำหนังที่ดียิ่งกว่าหนังเรื่องนี้ให้ได้
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้เองที่คาเมรอนเริ่มประดิษฐ์จรวดและเครื่องบินหลากรุ่นหลายยี่ห้อจากเศษขยะเหลือใช้ที่บ้าน ก่อนที่งานอดิเรกนี้จะกลายเป็นความหลงใหลในการต่อโมเดลสำเร็จรูปที่ช่วยฝึกทักษะการทำงานฝีมือให้กับคาเมรอนจนกลายมาเป็นงานที่เขาถนัดและทำได้ดีเยี่ยมจนสามารถนำมาใช้ประกอบการจัดฉากถ่ายทำหนังได้ในเวลาต่อมา
คาเมรอนเริ่มจับกล้องถ่ายภาพยนตร์ครั้งแรกหลังจากที่เขาได้ชมภาพยนตร์สุดคลาสสิกตลอดกาล 2001 : A Space Odyssey ของผู้กำกับมือตำนานอย่าง สแตนลีย์ คูบริก ที่ออกฉายในปีค.ศ. 1968 คาเมรอนไปนั่งเฝ้าหน้าจอชมหนังเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 10 รอบ และออกอาการอยู่ไม่สุขจนต้องหยิบกล้องรุ่น Super8 ของพ่อออกมาลองถ่าย
หลังจบมัธยมปลาย คาเมรอนได้รับอิทธิพลจากอาชีพวิศวกรของพ่อชักนำเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย (California State University) ที่ฟูลเลอร์ตัน (Fullerton) สาขาฟิสิกส์ แต่เรียนอยู่ได้เพียงปีเดียว คาเมรอนก็ไปพบรักกับ ชารอนวิลเลียมส์ (Sharon Williams) สาวน้อยพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหาร และทั้งคู่ตกลงปลงใจแต่งงานกัน คาเมรอนลาออกจากมหาวิทยาลัยและกลายมาเป็นชนชั้นแรงงานอย่างเต็มตัว เพราะต้องออกมาทำงานทุกอย่างที่หาได้เพื่อเลี้ยงดูตัวเองและภรรยาสาว
ช่วงแรกๆ เขาเป็นคนขับรถบรรทุกที่ชอบใช้เวลาว่างในการสูบกัญชาและนั่งฝันกลางวัน จนกระทั่งเมื่อปีค.ศ. 1977 Star Wars ของ จอร์จลูคัส พ่อมดแห่งโลกภาพยนตร์ออกฉาย ทำให้คาเมรอนเริ่มตระหนักได้ว่า เขายังมีความฝันในชีวิตและความฝันนั้นก็คือการทำภาพยนตร์ของตัวเอง
หลังจากนั้นเขาหันหลังให้กับงานที่ทำอยู่แล้วย้ายมาใช้ชีวิตในเมืองใหญ่อย่างลอสแองเจลิส และเข้าทำงานในวงการภาพยนตร์เพื่อเป็นการปูทางไปสู่อาชีพผู้กำกับ และหนังเรื่องแรกที่คาเมรอนชิมลางในฐานะคนทำหนังคือ Xenogenesis (1978) หนังสั้นความยาว 12 นาที ที่ผู้กำกับหน้าใหม่แสดงฝีมือในการสร้างสรรค์เทคนิคในการทำสเปเชียล เอฟเฟกต์อย่างอลังการ ในขณะที่เขาเองก็ตระหนักได้ว่าตนยังมีข้อด้อยเกี่ยวกับทักษะในการทำหนังมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโครงเรื่อง ตัวละคร และบทภาพยนตร์ซึ่งยังอ่อนประสบการณ์อยู่มาก อย่างไรก็ดี หนังสั้นเรื่องนี้ทำให้คาเมรอนได้งานในบริษัท นิว เวิลด์พิกเจอร์ส (New World Pictures) ของ โรเจอร์ คอร์แมน (Roger Corman) แม้นิว เวิลด์ พิกเจอร์ส จะเป็นเพียงบริษัทเล็กๆ ที่สร้างหนังต้นทุนต่ำ แต่ก็เป็นหนังในแนวที่คาเมรอนชอบและกลายเป็นแหล่งฝึกปรือวิทยายุทธ์การทำหนังชั้นเยี่ยม
ภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกที่คาเมรอนกำกับอย่างเต็มตัวและลงมือเขียนบทด้วยตัวเองคือ Piranha Part Two : The Spawning ที่ออกมาในปีค.ศ. 1981 ซึ่งไม่ได้สร้างประสบการณ์การทำหนังเรื่องแรกที่น่าประทับใจนัก เพราะในระหว่างการถ่ายทำ นอกจากจะต้องจัดการกับต้นทุนที่มีอยู่น้อยนิด การทำงานกับลูกทีมที่พูดแต่ภาษาอิตาเลียนก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดกันจนทำให้เขาในฐานะผู้กำกับมือใหม่หงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา แต่ที่แย่ที่สุดและคาเมรอนทำใจได้ยากที่สุดคือความจริงที่ว่า หนังเรื่องนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ฝันร้ายจากการสร้างหนังเรื่องแรกที่ตามมาหลอกหลอนทำให้เขาจินตนาการถึงหุ่นยนต์นักฆ่าที่มาจากอนาคต จนนำไปสู่การเขียนบทหนังคนเหล็ก (The Terminator) ที่ร่วมกันเขียนบทกับ เกล แอน เฮิร์ด (Gale Anne Hurd) หัวหน้าฝ่ายการตลาดสาวของบริษัท นิว เวิลด์ พิกเจอร์ส ซึ่งเริ่มทำความรู้จักสนิทสนมกัน เธอซื้อบทหนังเรื่องนี้ไปในราคา 1,000 เหรียญสหรัฐ และรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ให้โดยมีเงื่อนไขจากผู้เขียนบทร่วมว่า เขาจะต้องได้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับ และในที่สุดหนังต้นทุน 6.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เรื่องนี้ได้พระเอกหนุ่มนักกล้ามแห่งยุค อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ (Arnold Schwarzenegger) มารับบทเครื่องจักรนักฆ่าซึ่งกลายมาเป็นการแจ้งเกิดอย่างสวยหรูให้กับอาชีพนักแสดงของเขาเอง เมื่อคนเหล็กออกฉาย เฉพาะฝั่งอเมริกาเองก็กวาดไปได้ถึง 38 ล้านเหรียญสหรัฐ และทั่วโลกอีกกว่า 78 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่น่าปลื้มใจแทนผู้สร้างและผู้กำกับก็คือ ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่เพียงทำรายได้งดงามในอันดับหนังทำเงินเท่านั้น แต่ยังได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์หลายสาขา หลายคนถึงกับยกย่องว่าหนัง คนเหล็ก ภาคแรกนี้ถือเป็นการเปิดศักราชใหม่ของภาพยนตร์แอคชั่นเลยทีเดียว
ด้วยจินตนาการอันบรรเจิดและพรสวรรค์ในการเขียน คาเมรอนเขียนบทภาพยนตร์ขึ้นมาหลายเรื่องแต่ไม่ได้กำกับด้วยตัวเอง หนึ่งในภาพยนตร์ที่เขาเขียนขึ้นจำนวนนั้นได้แก่ บทภาพยนตร์เรื่องแรมโบ 2 (Rambo : First Blood II) ที่ออกฉายในปีค.ศ. 1985 ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับทหารผ่านศึกในสงครามเวียดนามชื่อ จอห์น แรมโบ (รับบทโดย ซิลเวสเตอร์ สตาลโลน) ที่ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำกลางสหรัฐและถูกส่งตัวกลับไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อช่วยชีวิตเชลยสงครามกลุ่มหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่ถูกอกถูกใจคอหนังแอคชั่นเป็นพิเศษ
หนึ่งปีต่อมา เจมส์ คาเมรอน กลับมานั่งแท่นผู้กำกับหนังเรื่องที่ตัวเองเขียนบทเองอีกเรื่อง เอเลียน ภาค 2 (Alien 2) หนังไซไฟสยองขวัญภาคต่อจากหนังภาคแรกที่ออกฉายในปีค.ศ. 1979 กำกับโดยริดเลย์ สกอต (Ridley Scott) คาเมรอนประทับใจหนังเรื่องนี้เป็นการส่วนตัว สำหรับเขาแล้ว นี่คือหนังไซไฟสยองขวัญที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่ด้วยความที่มันเป็นหนังที่หลายคนเอาขึ้นหิ้งไว้ด้วยความ
“สมบูรณ์แบบ” ในตัวหนังเอง ผู้ใหญ่ในค่ายทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟ็อกซ์ ก็เลยออกอาการลังเลที่จะให้มีการทำภาคต่อ คาเมรอนอาศัยใจรักในหนังและความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมที่จะสร้างต่อ ชักจูงบอร์ดผู้บริหารจนได้รับไฟเขียวอนุญาตให้เปิดกล้องถ่ายทำหนังเอเลียน ภาค 2 ออกมาในวงเงิน 18 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้หนังความยาว 137 นาที ที่เล่าเรื่องจาก เอเลน ริพลีย์ (Ellen Ripley) ตัวละครหญิงเพียงหนึ่งเดียวที่รอดชีวิตมาจากหนังภาคแรก รับบทโดยซิกอร์นีย์ วีเวอร์ (Sigourney Weaver) ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม และหนังเอเลียน 2 ก็ และคว้า 2 รางวัลออสการ์มาได้ในสาขาการตัดต่อเสียงและภาพยอดเยี่ยม พร้อมด้วยรายได้จากการเข้าฉาย 131 ล้านเหรียญสหรัฐด้วยภาพยนตร์ทำเงิน 2 เรื่องที่โกยเงินในบอกซ์ออฟฟิศ และรางวัลออสการ์สองตัวเป็นเครื่องรับประกัน ชื่อของเจมส์ คาเมรอน กลายเป็นผู้กำกับหนังมือทองที่หลายๆ ค่ายหนังให้ความสนใจทาบทามมากำกับหนัง แต่คาเมรอนก็ดึงดันจะสร้างหนังที่เขียนเอง กำกับเอง ในแนวที่ตัวเองถนัด The Abyss (หรือชื่อภาษาไทย พลิกตำนานรักใต้ทะเลลึก) เป็นหนังเขย่าขวัญสไตล์คาเมรอนที่ออกมาฉายในปีค.ศ. 1989 โดยมีฉากของเรื่องที่ได้แรงบันดาลใจมาจากโลกลี้ลับใต้สมุทร หนังมีความยาว 146 นาที ใช้ทุนสร้าง 40 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่รายได้เปิดตัวบนตารางบอกซ์ออฟฟิศได้เพียง 54 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าผิดหวังมากสำหรับมือผู้กำกับระดับเจมส์ คาเมรอน
ในปีค.ศ. 1990 เจมส์ คาเมรอน ตัดสินใจตั้งบริษัทของตัวเอง เขาร่วมมือกับ แลร์รี คาซานอฟฟ์ (Larry Kasanoff) อดีตเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตของบริษัท เวสตรอน (Vestron) จัดตั้งบริษัทผลิตภาพยนตร์ชื่อไลต์สตอร์ม เอนเตอร์เทนเมนต์ (Lightstorm Entertainment) ซึ่งมีข้อตกลงเบื้องต้นว่าผู้กำกับจะมีอิสระมากขึ้นในการสร้างหนัง
ในปีค.ศ. 1991 หนังเรื่องแรกที่ผลิตออกมาจากบริษัทใหม่คือภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่เป็นภาคต่อของคนเหล็ก ที่แฟนหนังตั้งหน้าตั้งตารอชม คราวนี้คาเมรอนไม่ได้แสดงฝีมือการเขียนบทเอง แต่ยกหน้าที่นี้ให้ วิลเลียม วิชเชอร์ จูเนียร์ (William Wisher Jr.) และอำนวยการสร้างโดย เกล แอน เฮิร์ด อดีตภรรยา และได้ อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ดาราคู่บุญมารับบทเครื่องจักรนักฆ่าจากอนาคตตามคำเรียกร้องของผู้ชม Terminator 2 : Judgment Day ที่คาเมรอนให้คำจำกัดความว่าเป็นหนังรุนแรงที่เกี่ยวกับสันติสุขของโลกกลับมากู้ชื่อเสียงเจมส์คาเมรอน ในฐานะผู้กำกับอีกครั้ง หนังประสบความสำเร็จสุดยอดไปกับเทคนิคพิเศษ และเนื้อหาตื่นเต้นเร้าใจผู้ชม จากทุนสร้าง 102 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาพยนตร์เรื่องนี้โกยรายได้ไป 204 ล้านเหรียญสหรัฐ เฉพาะในตารางบอกซ์ออฟฟิศ เมื่อรวมรายได้ทั่วโลกรับไปเต็มเม็ดเต็มหน่วย 519 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่จะคว้ารางวัลออสการ์ได้มากถึง 4


