ศาลโลก

คําตัดสินของศาลโลก (International Court of Justice) ที่เมืองเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

โดย..ธนพล ไชยภาษี

ออกมาชัดๆ กันแล้ว บอกว่าสถานการณ์ในพื้นที่ข้อพิพาทรอบปราสาทพระวิหารนั้นยังไม่แน่นอนและเสี่ยงจะลุกลาม ดังนั้นศาลจึงมีคำสั่งให้

ทั้งไทยและกัมพูชาต้องถอนทหารออกไปจากบริเวณโดยรอบ

กำหนดให้พื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่ปลอดทหาร (Demilitarised Zone)

ให้ไทยและกัมพูชาเปิดการเจรจาเพื่อหาทางออกร่วมกัน

ให้ไทยและกัมพูชาเปิดทางให้เจ้าหน้าที่สังเกตการณ์จากสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เข้าไปในพื้นที่

นี่แหละครับ ศึกยกแรก ประกาศผลตัดสินออกมาแล้ว พิจารณาอย่างรวมๆ แบบไม่มีอคติทาง “เชื้อชาติ” ก็ถือว่าเป็นแนวทางแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ข้อพิพาทตามแบบขั้นตอนตามสไตล์ของสหประชาชาติ ที่ทุกฝ่ายต้องถอยหลังไปก่อน (ส่วนจริงๆ จะถอยหรือไม่ถอยก็อีกเรื่อง) แล้วค่อยคุยกันแบบมีคนกลาง

ถือว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่จะประกาศให้พื้นที่โดยรอบเป็นพื้นที่ปลอดทหาร และไปนั่งคุยกันใหม่ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว โดยมี “คนกลาง” เข้าไปสังเกตการณ์ และที่สำคัญนั้น คำตัดสินนี้อยู่บนพื้นฐานข้อมูลที่ว่า พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ไม่ได้เป็นของใครทั้งสิ้น

นั่นอาจจะไม่ถูกใจคนไทยเท่าไหร่ เพราะไทยก็อ้างสิทธิว่าเป็นของไทยเรา แล้วจะให้เราถอนทหาร ถอนอธิปไตยออกไปจากพื้นที่ของเราได้อย่างไร

แต่อย่าลืมว่า เขมรก็อ้างสิทธิเหนือพื้นที่ดังกล่าวเช่นกัน กัมพูชาก็ต้องเสียหน้าเช่นเดียวกันครับ

คำตัดสินออกมาในรูปการณ์นี้ เป็นการสั่งชัดๆ ว่า พื้นที่โดยรอบนี้ยังไม่ใช่ของใครทั้งสิ้น ให้ไปคุยกันเอง

ที่น่าสนใจที่สุด เป็นการสั่งให้เป็นเขตปลอดทหาร ซึ่งที่ผ่านมาก็เพราะว่ามีการเผชิญหน้ากันนั่นแหละครับ เลยทำให้แต่ละฝ่ายปากพูดอย่าง ลับหลังทำอีกอย่างมาตลอด

โดยเฉพาะกัมพูชา ที่ใช้ปราสาทพระวิหารเป็นตัวประกันอยู่เสมอ แต่กลับซุกทหาร ซุกระเบิดในปราสาทคอยยิงโจมตีทหารไทย

เมื่อคำสั่งศาลโลกออกมาเช่นนี้แล้ว จะทำให้ไม่มีทหารอยู่ในพื้นที่อีกต่อไปแล้ว การเผชิญหน้าก็ลดลง ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ก็จะทำให้ปัญหาทุกอย่างไปวัดกันบนโต๊ะเจรจาครับ

สิ่งหนึ่งที่ผมกลัวมากที่สุดยิ่งกว่าคำตัดสินของศาลโลก คือ ทีมเจรจาของรัฐบาลชุดใหม่ของชาวไทยนี่แหละครับ ว่าจะทำเพื่อชาติ รักชาติ กันมากน้อยแค่ไหน

ยิ่งได้ยิน คุณยิ่งลักษณ์ เคยบอกไว้เมื่อสัปดาห์ก่อนๆ ว่า รัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ของรัฐบาลชุดนี้ จะต้องเป็นคนที่กัมพูชายอมรับ !

ฟังแล้วก็แทบจะกระเดือกน้ำลายไม่ลงกันทีเดียว !