posttoday

เรื่องร้ายร้าวของชาวนาจาก 'กระดูกสันหลัง' สู่ ‘เนื้อสัน’ ของชาติ

10 สิงหาคม 2568

ชวนคุยกับชาวนาเสียงจริงตัวจริง ในวันที่ราคาข้าวและพืชผลเกษตรแย่สุดๆ ไม่ว่าจะกี่ปี ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ยุคอะไร แต่เกษตรกรไทยก็ยังบ่นในเรื่องเดิมๆ ทุกข์ในเรื่องเดิมๆ

“เมื่อก่อนเขายังเรียกเราว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เดี๋ยวนี้เรากลายเป็นเนื้อสันของชาติแล้ว เพราะใคร ๆ ก็มาแทะ มาแบ่ง มาเอากำไร จนเหลือแต่กระดูกจริง ๆ” - จรูญ สาระเดช - ชาวนาไทย

 

คุยสนุกๆ แต่ทุกข์ขนัด หัวเราะทั้งน้ำตา คือชาวนาไทย กิน-อยู่อย่างสมถะสุดๆ ก็ยังถูกทำให้จนลงไปอีก จนรู้สึกไม่อยากทำนา โพสต์ทูเดย์ชวนมาคุยกับชาวนาเสียงจริงตัวจริงกันบ้างในวันที่ราคาข้าวและพืชผลเกษตรแย่สุดๆ ไม่ว่าจะกี่ปี ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่เกษตรกรไทยก็ยังบ่นในเรื่องเดิมๆ ทุกข์ในเรื่องเดิมๆ ทั้งๆที่ บรรพบุรุษของคนใหญ่คนโตในประเทศนี้ตั้งมากมายก็คือชาวนาที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหนักส่งลูกหลานเข้าไปเป็นกำลังหลักของชาติ 

 

ชีวิตของ “พี่น้อย” นายจรูญ สาระเดช ชาวนาไทยอายุ 69 ปี จากท้องทุ่งหนองจิก อำเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี อาจเป็นเพียงหนึ่งเสียงเล็ก ๆ ของชาวนาไทย แต่เรื่องเล่าของเขาคือภาพแทนชีวิตจริงของชาวนานับล้าน ที่ยังยืนหยัดอยู่กลางแดดจ้าและผืนนาสีเขียว พร้อมคำถามในใจว่า...

 

"เราจะอยู่กันได้อีกนานแค่ไหน?"

 

เรื่องร้ายร้าวของชาวนาจาก 'กระดูกสันหลัง' สู่ ‘เนื้อสัน’ ของชาติ

 

จากกระดูกสันหลัง สู่ ‘เนื้อสัน’ ของชาติ

 

“เมื่อก่อนเขายังเรียกเราว่าเป็นกระดูกสันหลังของชาติ เดี๋ยวนี้เรากลายเป็นเนื้อสันของชาติแล้ว เพราะใครๆ ก็มาแทะ มาแบ่ง มาเอากำไร จนเหลือแต่กระดูกจริงๆ”

 

คำพูดสะท้อนวลีอมตะ สุดสะเทือนใจของพี่น้อยทำเอาตบเข่าฉาด ว่าทำไม ชาวนาหนึ่งคนที่ทำนามาตั้งแต่อายุ 13 เรียกว่าทำนามาทั้งชีวิต จึงรู้สึกในความหมายบาดใจได้ถึงขนาดนี้

 

“ให้เงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละพัน ไร่ละห้าร้อย แต่ไม่เคยคิดจะหาทางลดราคาปุ๋ย-ราคายา เราไม่ได้อยากได้เงิน เราอยากอยู่ได้ด้วยตัวเอง” พี่น้อยกำลังจะบอกว่าถ้าต้นทุนยาปุ๋ยไม่สูงขนาดนี้ ก็คงยังอยู่ได้ดีกว่านี้

 

เรื่องร้ายร้าวของชาวนาจาก 'กระดูกสันหลัง' สู่ ‘เนื้อสัน’ ของชาติ

 

จากความพอเพียง สู่ความไม่พอใช้

พี่น้อยเริ่มจับจอบตั้งแต่อายุ 13 ปีนี้อายุ 69 สิริรวมทำนามา 56 ปี (ส่งลูกเรียนจบปริญญาตรี 2 คน) ผ่านยุคที่บ้านยังมุงแฝก ใช้ควายไถนา ไม่มีเครื่องจักร ไม่มีปุ๋ยเคมี ไม่มีรถเกี่ยว

“ตอนนั้นเหนื่อยแต่ไม่เครียด เพราะทุกอย่างมันพออยู่ พอกิน… ปุ๋ยถุงละ 300 ข้าวถังละร้อยกว่า ขายข้าวแค่ 2 ถังก็ซื้อปุ๋ยได้เป็นกระสอบแล้ว”

แต่พอเข้าสู่ยุคของเครื่องจักร ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และต้นทุนที่พุ่งขึ้นเหมือนไม่มีขีดจำกัด ทุกอย่างเปลี่ยนไป

“ปัจจุบัน... ปุ๋ยถุงละเกือบพัน ข้าวถังละห้าสิบหกสิบ คิดดู ต้องขายข้าวกี่ถังถึงจะซื้อปุ๋ยได้หนึ่งถุง ถ้าไม่ได้ยินจากปากผม คุณจะเชื่อไหมว่าชาวนาอยู่ไม่ได้?”

 

พี่น้อยนั่งคำนวณตั้นทุนการทำนา 1 ฤดูกาลได้ดูแบบกระจ่างตา

เรื่องร้ายร้าวของชาวนาจาก 'กระดูกสันหลัง' สู่ ‘เนื้อสัน’ ของชาติ

 

คำนวณทุกเม็ด แต่ขาดทุนทุกปี

พี่น้อยเล่าพร้อมยกตัวอย่างจะได้เห็นภาพชัดๆ ว่าในฤดูกาลหนึ่ง เขาทำนา 60 ไร่ คิดต้นทุนอย่างละเอียด ทั้งค่าน้ำ ค่ายา ค่าแรง ค่าไถ ค่าเช่ารถนวด ค่าเช่ารถดำนา ค่าซ่อมรถ ทุกบาททุกสตางค์บันทึกไว้หมด ตัวเลขไม่โกหก

“ต้นทุนทั้งฤดูรวม 344,650 บาท (รวมคาแรง ค่าเช่า ค่ายา ค่าปุ๋ย ค่าน้ำมัน ฯลฯ) คิดว่าจะได้ข้าวที่ 80 ถังต่อไร่ (60 ไร่จะได้ข้าว 4,800 ถังโดยประมาณ) ราคาข้าวขาว ณ ตอนนี้ 66 บาทต่อถัง คาดว่าจะขายข้าวได้รวม 316,800 เท่ากับขาดทุนเห็นๆ 27,850 บาท”

 

และที่เจ็บปวดยิ่งกว่านั้นคือ ถ้าจะซื้อปุ๋ยหนึ่งกระสอบตอนนี้ ต้องแลกกับข้าวถึงกว่า 10 ถัง!

“มีเงินในกระปุกอยู่ 10 บาท เอาไปลงทุนทำนา หวังจะได้กำไรสักบาทสองบาท หรือได้เงินกลับคืนธนาคารบ้าง สุดท้ายได้กลับมาแค่ 6 บาท ที่เหลือหายไปเฉยๆ แล้วจะเอาอะไรกินล่ะ?” พี่น้อยกล่าวอย่างหมดอาลัย

 

ข้าวไทยไม่ถูกแบรนด์ ไม่ถูกโปรโมต ไม่ถูกปกป้อง

พี่น้อยเล่าว่า สมัยก่อนพันธุ์ข้าวไทย เช่น ข้าวเสาไห้ และ ข้าวหอมมะลิชัยนาท เคยเป็นที่ยอมรับระดับโลก ข้าวหอมมะลิไทยเคยได้แชมป์ข้าวโลกหลายปี แต่วันนี้ ข้าวไทยกลับพ่ายแพ้ให้กับ ข้าว ST25 ของเวียดนาม และ ข้าว Basmati ของอินเดีย ทั้งด้านราคา ปริมาณผลผลิต และคุณภาพ

 

“เมื่อก่อนอินเดียกับเวียดนามต้องซื้อข้าวเรา เดี๋ยวนี้เขากลับขายแข่งกับเราในตลาดโลก แล้วไทยก็แพ้เขา”

 

ข้อสรุปเชิงวิชาการจากข้อมูลของกรมการข้าว กรมวิชาการเกษตร และนักวิชาการ ที่เคยอธิบายไว้ชัดเจนว่า ทำไมข้าวไทยไม่ถูกพัฒนาสายพันธุ์แบบข้าวอินเดียหรือเวียดนาม ทำให้วันนี้ไทยตกกระแสในตลาดโลก

1. งบวิจัยต่ำ–ทุนมนุษย์ไม่พอ

  • ไทยใช้งบวิจัยพันธุ์ข้าวเพียง 200 – 300 ล้านบาทต่อปี ขณะที่เวียดนามใช้งบถึง 3,000 ล้าน บาท/ปี
  • นักวิจัยสายพันธุ์ข้าวมีจำนวนน้อย ผู้อาวุโสทยอยเกษียณ แต่ไม่มีการสืบทอดต่อ
  • เครื่องมือวิจัยยังล้าสมัย ข้าวพันธุ์ใหม่ของไทยใช้เวลาพัฒนาถึง 8–10 ปี/สายพันธุ์ และไม่มีความถี่เพียงพอในการตอบโจทย์ตลาดโลก

 

2. เน้นอุดหนุนมากกว่าวิจัย

งบสนับสนุนชาวนาแบบประชานิยมหลายแสนล้านบาท เช่น โครงการรับจำนำ-ประกันรายได้ แต่กลับไม่ใช้งบพัฒนาสายพันธุ์ข้าวจริงจัง ดร. สมพร จันทร์ชู แห่ง TDRI ชี้ว่า การอุดหนุนมากแต่ลงทุนวิจัยน้อย ทำให้การพัฒนาสายพันธุ์ไทยติด “กับดักประชานิยม” ผลคือเกิดช่องว่างอย่างชัดเจนระหว่างการใช้จ่ายอุดหนุนกับงบวิจัยสร้างอนาคต

 

3. ระบบลงทะเบียน–กระจายพันธุ์ข้าวอ่อน

ปัจจุบันไทยมีพันธุ์ข้าวรับรองใหม่ปีละ 10 สายพันธุ์ แต่ ขยายพันธุ์ได้แค่ 7% ของความต้องการ เพราะชาวนา 93% ยังใช้ข้าวปลูกซ้ำจากรุ่นก่อน

 

“พันธุ์ข้าวที่รัฐให้มาก็ไม่เหมาะกับดินกับฟ้าเรา พอผลผลิตตกก็มาโทษชาวนาอีก… แล้วจะให้ทำยังไง?”

 

4. ผลผลิต–ต้นทุนไม่แข่งขัน

ปัจจุบันผลผลิตข้าวไทยเฉลี่ยแค่ 400–500 กก./ไร่ แต่เวียดนามได้ถึง 700–930 กก./ไร่ ต้นทุนไทยสูงกว่าเวียดนามประมาณ 30% ในขณะที่รัฐบาลเลือกใช้กลยุทธ์ลดราคาแข่งขัน มากกว่าเพิ่มคุณภาพหรือพัฒนาสายพันธุ์ ผลคือราคารับซื้อข้าวจึงถูกกดลงจนชาวนาแทบไม่มีกำไร

และนี่คือปัญหาโครงสร้างที่ชาวนาไทยแทบทุกคนต้องเจอ

“เพราะเราผลิตแพง แต่ขายถูก พอจะลดต้นทุนก็ลดไม่ได้ เพราะปุ๋ยก็แพง ยาก็แพง น้ำมันก็แพง... ขายแพงก็ไม่ได้ เพราะตลาดโลกไม่ยอมซื้อ”

 

เรื่องร้ายร้าวของชาวนาจาก 'กระดูกสันหลัง' สู่ ‘เนื้อสัน’ ของชาติ

 

เขาถามทั้งเสียงหัวเราะขื่นๆ ว่า “แล้วรัฐบาลทำอะไร? ควบคุมราคาปุ๋ยได้ไหม? คุมราคาข้าวได้ไหม? ชาวนาอยู่ตรงไหนในสายตาเขา?”

 

“ตอนนี้บางคนเริ่มไม่ไหวแล้ว ยอมปล่อยนาให้เช่า ไม่ก็ปล่อยให้รกร้างไปเลย เพราะยิ่งทำก็ยิ่งขาดทุน”

ความหวังสุดท้ายของชาวนา ณ เวลานี้คือ ขอให้ต้นทุนถูกลง... แค่นั้น

พี่น้อยไม่หวังเงินช่วยเหลือแบบปะผุ เขาอยากให้รัฐลงมาดูแลที่ต้นทาง

“ไม่ต้องให้ไร่ละพันหรอก หากลไกช่วยลดราคาปุ๋ย ยา แค่นั้นก็พอใจแล้ว เราจะได้ลืมตาอ้าปากกันได้บ้าง”

 

เรื่องร้ายร้าวของชาวนาจาก 'กระดูกสันหลัง' สู่ ‘เนื้อสัน’ ของชาติ

 

 

เรื่องและภาพ: ศิวดี อักษรนำ

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด เชลซี พบ เอฟเวอร์ตัน พรีเมียร์ลีก วันนี้ 13 ธ.ค.68