ทั่วไทยอ่วมฝนตกหนัก ผู้เชี่ยวชาญชี้ป่าหัวโล้นต้นเหตุน้ำท่วม
ปภ.รายงานน้ำท่วม "น่าน-จันทบุรี" สทนช.ประกาศ20-24 ก.ค.นี้ เฝ้าระวังน้ำหลาก ดินถล่ม ระดับน้ำเจ้าพระยา-โขงสูงขึ้น ผู้เชี่ยวชาญชี้ป่าไม้ถูกทำลาย ต้นเหตุวิกฤต
KEY
POINTS
- ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าสาเหตุหลักของน้ำท่วมรุนแรงในภาคเหนือคือปัญหาป่าไม้ถูกทำลายและ "เขาหัวโล้น" โดยเฉพาะในจังหวัดน่าน ซึ่งทำให้ขาดต้นไม้ใหญ่ช่วยดูดซับน้ำเมื่อฝนตกหนัก
- ประเทศไทยเผชิญฝนตกหนักต่อเนื่อง ส่งผลให้เกิดอุทกภัยแล้วใน 2 จังหวัด (น่าน, จันทบุรี) และมีการประกาศเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันในอีกหลายจังหวัดทั่วทุกภาค
- ปัจจัยเสริมที่ทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น ได้แก่ ปริมาณฝนที่ตกหนักกว่าปกติจากมรสุมและภาวะโลกร้อน, อิทธิพลจากปรากฏการณ์ลานีญา และการขยายตัวของเมืองในพื้นที่ลุ่มต่ำ
รายงานสถานการณ์สาธารณภัยประจำวันที่ 18 กรกฎาคม 2568 จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สรุปสถานการณ์น้ำท่วม, วาตภัย, และภาพรวมปริมาณน้ำทั่วประเทศ รวมถึงข้อมูลและข้อสังเกตจากผู้เชี่ยวชาญ
สรุปสถานการณ์สาธารณภัยประจำวัน
สถานการณ์อุทกภัย
ปัจจุบันมีสถานการณ์น้ำท่วมใน 2 จังหวัด ได้แก่ น่าน และ จันทบุรี รวม 9 อำเภอ 15 ตำบล 24 หมู่บ้าน โดยมีบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบ 150 ครัวเรือน รวม 555 คน
จังหวัดจันทบุรี: เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 68 เกิดฝนตกหนักและน้ำป่าไหลหลากท่วม 4 อำเภอ 7 ตำบล 12 หมู่บ้าน เบื้องต้นมีบ้านเรือนได้รับผลกระทบ 20 ครัวเรือน 74 คน ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ศูนย์ ปภ. เขต 17 จันทบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าช่วยเหลือ พร้อมติดตั้งเครื่องสูบน้ำและสนับสนุนเรือท้องแบน ปัจจุบันระดับน้ำลดลงแล้ว
จังหวัดน่าน: วันที่ 16-17 ก.ค. 68 เกิดฝนตกหนักและน้ำป่าไหลหลากท่วม 5 อำเภอ 8 ตำบล 12 หมู่บ้าน เบื้องต้นมีบ้านเรือนได้รับผลกระทบ 130 ครัวเรือน 481 คน ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต สำนักงาน ปภ. จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าช่วยเหลือแล้ว ปัจจุบันระดับน้ำทรงตัว
สถานการณ์วาตภัย
จังหวัดเพชรบูรณ์: เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 68 เวลา 17.00 น. เกิดวาตภัยในพื้นที่ ม.4 ต.ตะกุดไร อ.ชนแดน ทำให้ต้นไม้ล้มทับกุฏิพระและขวางถนน ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เข้าให้การช่วยเหลือแล้ว
ภาพรวมสถานการณ์น้ำและพยากรณ์อากาศ
ข้อมูล ณ วันที่ 18 ก.ค. 68 เวลา 07.00 น.
ปริมาณฝนสะสมสูงสุด 24 ชั่วโมง (มม.)
ภาคเหนือ: แพร่ (137 มม.)
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: หนองคาย (46 มม.)
ภาคตะวันตก: กาญจนบุรี (44 มม.)
ภาคกลาง: ลพบุรี (85 มม.)
ภาคตะวันออก: จันทบุรี (112 มม.)
ภาคใต้: ชุมพร (29 มม.)
สภาพอากาศและคาดการณ์
วันนี้: หย่อมความกดอากาศต่ำยังคงปกคลุมเมียนมาตอนบนและเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลาง ทำให้ประเทศไทยยังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่งในภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกคาดการณ์ (19 – 23 ก.ค. 68): ประเทศไทยจะมีฝนเพิ่มขึ้นและมีฝนตกหนักบางแห่ง โดยมีฝนตกหนักมากในบางพื้นที่ของภาคเหนือ, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน, ภาคกลางด้านตะวันตก, ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนบน ลาวตอนบน และเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะมีกำลังค่อนข้างแรง
พายุดีเปรสชัน: บริเวณด้านตะวันออกของประเทศฟิลิปปินส์ มีแนวโน้มจะทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน และคาดว่าจะเคลื่อนผ่านตอนบนของประเทศฟิลิปปินส์ลงสู่ทะเลจีนใต้ตอนบนในช่วงวันที่ 19 - 22 ก.ค. 68
สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำและประกาศเตือน
1. สถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำภาพรวม
ปริมาณน้ำรวม: 58% ของความจุเก็บกัก (46,734 ล้าน ลบ.ม.)
ปริมาณน้ำใช้การ: 39% (22,617 ล้าน ลบ.ม.)
2. ประกาศสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ฉบับที่ 12/2568 (ลงวันที่ 17 ก.ค. 68) เฝ้าระวังสถานการณ์ในช่วงวันที่ 20 – 24 ก.ค. 68 ดังนี้:
พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม และน้ำท่วมขัง:
ภาคเหนือ: เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, เชียงใหม่, ลำพูน, ลำปาง, พะเยา, แพร่, น่าน, ตาก, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: เลย, หนองคาย, บึงกาฬ, อุดรธานี, สกลนคร, นครพนม, ยโสธร, อุบลราชธานี
ภาคตะวันออก: ชลบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด
ภาคตะวันตก: กาญจนบุรี
ภาคใต้: ระนอง, พังงา, ภูเก็ต, สุราษฎร์ธานี
เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็ก: ที่มีปริมาณน้ำมากกว่า 80% ของความจุเก็บกักในจังหวัด ตาก, ลำปาง, ลำพูน, พะเยา, น่าน, แพร่, สุโขทัย, อุตรดิตถ์, พิษณุโลก, เลย, หนองคาย, สกลนคร, อุดรธานี, กาฬสินธุ์, นครพนม, มุกดาหาร, นครราชสีมา, ศรีสะเกษ, อุบลราชธานี, ปราจีนบุรี, ระยอง, จันทบุรี, ตราด, สุราษฎร์ธานี และกระบี่ พร้อมพิจารณาบริหารจัดการน้ำเขื่อนสิริกิติ์, กว๊านพะเยา และหนองหาร ให้เหมาะสม
เฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ลุ่มต่ำ: บริเวณแม่น้ำอิง (เชียงราย), แม่น้ำสาย (เชียงราย), แม่น้ำปิง (เชียงใหม่), แม่น้ำยม (แพร่), แม่น้ำน่าน (น่าน), ห้วยหลวง (อุดรธานี), ลำน้ำก่ำ (นครพนม), ลำน้ำยัง (ร้อยเอ็ด), ลำเซบาย (ยโสธร)
เฝ้าระวังกิจกรรมการใช้น้ำและการสัญจรทางน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา: ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา (อ่างทอง, พระนครศรีอยุธยา) เนื่องจากมีการปรับแผนระบายน้ำจาก 490 ลบ.ม./วินาที เป็น 500 - 700 ลบ.ม./วินาที
เฝ้าระวังผลกระทบจากระดับน้ำโขงเปลี่ยนแปลง: เนื่องจากมีฝนตกสะสมใน สปป.ลาว ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำโขงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แต่ยังไม่ส่งผลให้ระดับน้ำล้นตลิ่งในจังหวัดริมโขงของไทย
สาเหตุหลักน้ำท่วมภาคเหนือจากมุมมองผู้เชี่ยวชาญ
นายสนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับสาเหตุของน้ำท่วมหนักในภาคเหนือ ดังนี้
ป่าไม้ถูกทำลายและเขาหัวโล้นจำนวนมาก: แม้ภาคเหนือจะมีพื้นที่ป่าไม้มากที่สุดในปี 2567 (63.24% หรือ 37,976,519.37 ไร่) แต่ก็มีการทำลายป่ามากที่สุดเช่นกัน โดยลดลงจากปี 2565 ถึง 171,143.04 ไร่ และจากปี 2566 ถึง 29,883.91 ไร่ นอกจากนี้ยังมีเขาหัวโล้นและการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (เช่น ข้าวโพด) กว่า 8 ล้านไร่ โดยเฉพาะจังหวัดน่านที่มีเขาหัวโล้นถึง 1.8 ล้านไร่ การไม่มีต้นไม้ขนาดใหญ่ช่วยดูดซับน้ำ ทำให้เมื่อฝนตกน้ำจึงไหลลงสู่ที่ราบอย่างรวดเร็วและรุนแรง
ฝนตกหนักมากกว่าปกติ: ช่วงนี้ร่องมรสุมความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและ สปป.ลาว ขณะที่ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้พัดหอบความชื้นจากอ่าวไทยและทะเลอันดามันขึ้นไปปะทะร่องมรสุม ทำให้เกิดฝนตกหนัก ประกอบกับการที่โลกร้อนขึ้นทุกปีส่งผลให้มีความชื้นในบรรยากาศมากขึ้น ทำให้ฝนตกเพิ่มขึ้น 5% ในแต่ละครั้ง และตกหนักต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่งผลให้ปริมาณน้ำในแม่น้ำและลำคลองสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปรากฏการณ์ลานีญาอ่อนๆ เข้ามาเสริม: ปรากฏการณ์ช่วงปลายของภาวะลานีญาในปีนี้ ทำให้เกิดฝนตกหนักมากขึ้น ส่งผลให้ภาคเหนือมีปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติ
การขยายตัวของเมือง: การขยายตัวของเมืองและการพัฒนาพื้นที่รอบนอก ทำให้พื้นที่ราบลุ่มที่เคยเป็นที่รองรับน้ำถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ส่งผลให้การระบายน้ำไม่มีประสิทธิภาพและเกิดน้ำท่วมได้ง่ายขึ้น
ดังนั้น เมื่อฝนตกหนัก น้ำที่ไหลจากภูเขาสูงและเขาหัวโล้นรอบตัวเมืองจะไหลลงสู่ที่ราบอย่างรวดเร็วและรุนแรง พัดพาดินโคลนลงมาพร้อมกับน้ำ ทำให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือนในพื้นที่ราบ ก่อนที่จะไหลลงสู่ลำน้ำสาขาต่างๆ ซึ่งหากลำน้ำตื้นเขินหรือถูกบุกรุกโดยสิ่งก่อสร้าง จะทำให้น้ำไหลไม่สะดวกและท่วมพื้นที่โดยรอบได้อย่างรวดเร็ว จังหวัดที่ได้รับผลกระทบหนักในช่วงนี้ ได้แก่ น่าน, เชียงราย, เชียงใหม่, ลำปาง และอุตรดิตถ์
คลิ๊กอ่านที่มา เพจเฟซบุ๊ก Sonthi Kotchawat (คลิ๊กอ่าน)


