สถานการณ์ชายแดน 9 ธ.ค. ยอดอพยพพุ่ง 1.2 แสนราย! ทภ. 2 ตรึงพื้นที่แน่น
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 อัปเดตสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา 9 ธ.ค. 68 ในพื้นที่ยังมีความตึงเครียด หลังฝ่ายตรงข้ามยกระดับการโจมตีอย่างหนักตั้งแต่ช่วงเช้ามืด
ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยรายงานสรุปสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ประจำวันที่ 9 ธันวาคม 2568 (เวลา 09.00 น.) โดยระบุว่าสถานการณ์ในพื้นที่ยังคงมีความตึงเครียด หลังฝ่ายตรงข้ามยกระดับการโจมตีอย่างหนักตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา
ไทม์ไลน์ปะทะ "BM-21 - โดรน" ถล่มฐานไทย
รายงานระบุว่า เมื่อเวลา 04.50 น. ทหารกัมพูชาได้เปิดฉากโจมตีฝ่ายไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้อาวุธหนักอย่าง จรวดหลายลำกล้อง (BM-21) พร้อมทั้งปฏิบัติการทางอากาศด้วย โดรนทิ้งระเบิดและโดรนพลีชีพ พุ่งเป้าโจมตีฐานที่มั่นของฝ่ายไทยในหลายแนวรบ ได้แก่ ช่องบก, ปราสาทตาควาย และปราสาทคนา
โดยจุดที่มีการปะทะรุนแรงที่สุดคือพื้นที่ ภูมะเขือ และ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งฝ่ายกัมพูชาพยายามอย่างหนักเพื่อเข้ายึดพื้นที่คืน
นอกจากนี้ ยังมีรายงานกระสุนจากจรวด BM-21 พลาดเป้าตกลงในพื้นที่บ้านเรือนประชาชน สร้างความเสียหายและความตื่นตระหนก
ด้านการตอบโต้ของฝ่ายไทย กองทัพภาคที่ 2 ยืนยันว่าสามารถควบคุมพื้นที่หลักได้ตามแผน โดยตอบโต้ด้วยอาวุธยิงเล็งตรงและอาวุธวิธีโค้ง ซึ่งสร้างความเสียหายต่อขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีนัยสำคัญ และพร้อมรักษาอธิปไตยอย่างเต็มกำลัง
ยอดอพยพจังหวัดชายแดนทะลุ 1.2 แสนคน
ในส่วนของความสูญเสีย คณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน (AOT-TH) ได้ลงพื้นที่โรงพยาบาลค่ายสรรพประสิทธิประสงค์ เพื่อเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ซุ่มยิงที่ฐานภูผาเหล็ก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย 4 จังหวัดชายแดนเข้าสู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวแล้ว จำนวน 492 แห่ง รวมทั้งสิ้น 125,838 คน โดยแบ่งแยกรายจังหวัดได้ดังนี้
- จ.สุรินทร์: 51,781 คน
- จ.ศรีสะเกษ: 45,914 คน
- จ.อุบลราชธานี: 22,580 คน
- จ.บุรีรัมย์: 5,563 คน
นอกจากนี้ ยังมีการดูแลกลุ่มเปราะบางเป็นพิเศษใน 75 จุด รวม 3,123 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ จ.สุรินทร์ (2,632 คน)
ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 2 ขอความร่วมมือประชาชน "งดเผยแพร่" ภาพถ่าย คลิปวิดีโอ หรือข้อมูลการเคลื่อนย้ายกำลังพลและการปฏิบัติการทางทหารลงบนสื่อโซเชียลมีเดีย
เพื่อป้องกันฝ่ายตรงข้ามระบุพิกัด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่แนวหน้า


