3 สมาคมโรงงานน้ำตาล ป้องชาวไร่ ยันอ้อยไม่ใช่ “จำเลยสังคม" ปม PM2.5
ท่ามกลางวิกฤติ PM2.5 ชาวไร่อ้อยถูกมองเป็นจำเลย ทั้งที่ฤดูหีบยังไม่เริ่ม ข้อมูลชี้อ้อยสดกว่า 99% จึงเกิดคำถามว่าแท้จริงแล้วฝุ่นมาจากไหน?
KEY
POINTS
- ปัญหาฝุ่น PM2.5 เกิดขึ้นก่อนฤดูหีบอ้อยจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ โดยมีโรงงานน้ำตาลเพียงส่วนน้อยที่เริ่มดำเนินการ จึงตั้งคำถามว่าการเผาอ้อยเป็นสาเหตุหลักจริงหรือไม่
- ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2568 ยืนยันว่าโรงงานที่เปิดแล้วรับอ้อยสดสูงถึง 99.7% และภาครัฐขอความร่วมมือให้รับอ้อยไฟไหม้ไม่เกิน 5% ซึ่งสวนทางกับข้อกล่าวหาเรื่องการเผาอ้อย
- 3 สมาคมฯ ยืนยันความร่วมมือกับภาครัฐและชาวไร่ในการส่งเสริมการตัดอ้อยสด การใช้เครื่องจักร และรับซื้อใบอ้อยเพื่อเป็นพลังงานชีวมวล เพื่อแก้ปัญหาการเผาอย่างยั่งยืน
ท่ามกลางสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 ที่พุ่งสูงขึ้นใกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยสังคมส่วนหนึ่งพุ่งเป้าสงสัยไปที่ "การเผาอ้อย" ว่าเป็นต้นเหตุสำคัญ ทว่าข้อเท็จจริงคือ ปัญหาฝุ่นพิษนี้กลับปรากฏขึ้นก่อนที่ฤดูกาลเก็บเกี่ยวอ้อยจะมาถึงเสียอีก จึงทำให้เกิดคำถามว่า
“เมื่อโรงงานยังไม่เปิดหีบ ชาวไร่ยังไม่ได้ตัดอ้อย แล้วฝุ่น PM2.5 มากจากไหน แล้วทำไมชาวไร่อ้อยจึงเป็นจำเลยสังคม”
นี่คือข้อสงสัยที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยถูกถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า และมักถูกมองว่าเป็นผู้ก่อปัญหาฝุ่นเสมอมา
นายรังสิต เฮียงราช ผู้อำนวยการบริษัท ไทยชูการ์ มิลเลอร์ จำกัด และเลขานุการคณะกรรมการประสานงาน 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย (TSMC) เปิดเผยข้อเท็จจริงว่า ฤดูการหีบอ้อยประจำปีนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 2 ธันวาคม 2568 โดยจากจำนวนโรงงานน้ำตาลทั่วประเทศ 58 แห่ง ปัจจุบันมีเพียง 8 โรงงานเท่านั้น (ข้อมูล ณ วันที่ 7 ธันวาคม 2568) ที่เริ่มเดินเครื่องจักร ซึ่งโรงงานทั้ง 8 โรงงานก็มีการรับอ้อยสดมากถึง 99.7% และปัจจุบันภาครัฐขอความร่วมมือให้โรงงานฯ รับอ้อยไฟไหม้ไม่เกิน 5% ของปริมาณอ้อยทั้งหมดในช่วงก่อนวันเด็กแห่งชาติ ตัวเลขดังกล่าวนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันและก่อให้เกิดคำถามว่า ปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นในขณะนี้ มีต้นตอมาจากการเผาอ้อยจริงหรือไม่ และด้วยเหตุผลใดที่ชาวไร่อ้อยยังคงถูกมองว่าเป็นผู้รับผิดชอบหลักต่อสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม ภายใต้เจตนารมณ์อันแน่วแน่เพื่อการเปลี่ยนแปลงผ่านธุรกิจอ้อยและน้ำตาล ในฐานะองค์กรที่เป็นศูนย์กลางของของอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายของประเทศไทย ซึ่งมีสมาชิกครอบคลุมโรงงานน้ำตาลทั้ง 58 แห่งทั่วประเทศ เราพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับภาครัฐอย่างเต็มกำลัง ในการปฏิบัติตามแนวทางที่สำนักงานอ้อยและน้ำตาลกำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรณรงค์และส่งเสริมให้พี่น้องเกษตรกรชาวไร่อ้อยหันมา “ตัดอ้อยสด” อย่างจริงจัง ซึ่งได้รับความร่วมมือจากชาวไร่อ้อยด้วยความพร้อมเพรียง ควบคู่ไปกับบทบาทของโรงงานน้ำตาลที่สนับสนุนการทำเกษตรสมัยใหม่ การใช้รถตัดอ้อย รวมทั้งการรับซื้อใบอ้อยเพื่อไปผลิตเป็นไฟฟ้าชีวมวล ซึ่งเชื่อมั่นว่าการสนับสนุนจากภาครัฐจะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยสร้างแรงจูงใจในการรับซื้อใบอ้อยของโรงงานและเป็นแก้ปัญหาการเผาอย่างเป็นรูปธรรม นำไปสู่การเติบโตของอุตสาหกรรมฯ อย่างยั่งยืน
“แม้จะเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย แต่ตัวเลขการรับอ้อยสดมากถึง 99.7% ก็เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างแท้จริงในการจัดการปัญหา ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันว่าอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล เป็นอุตสาหกรรมที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการดำเนินนโยบายและมาตรการลดผลกระทบอย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากยุทธศาสตร์ความร่วมมือที่รอบด้านและจริงจัง ระหว่างภาครัฐ โรงงานน้ำตาล และเกษตรกรชาวไร่อ้อย ผ่านการทำเกษตรสมัยใหม่และการใช้รถตัด เพื่อลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 อย่างยั่งยืนต่อไป” นายรังสิต กล่าวทิ้งท้าย


