posttoday

หุ้นไทยให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 5.4% ต่อปี สูงกว่าดอกฝาก

04 ธันวาคม 2562

ผู้จัดการตลท.เปิดข้อมูล ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียน มากกว่าตลาดสิงคโปร์ 2.2 เท่า 

ผู้จัดการตลท.เปิดข้อมูล ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องสูงสุดในอาเซียน มากกว่าตลาดสิงคโปร์ 2.2 เท่า 

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวในงานสัมมนา "ส่องหุ้นไทย ฟุบ หรือไปต่อ ...รับปี 2020" ว่า มูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท/วัน เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน มากกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์ 2.2 เท่า

นอกจากนี้ หุ้นไทยให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีเฉลี่ย 5.4% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบัน และการเติบโตของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี

นายภากร กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นไทยมีความหลากลากหลายของนักลงทุนทั้งรายย่อย สถาบัน และนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งความหลากหลายของนักลงทุนจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจเข้าลงทุน

ด้านโครงสร้างของบริษัทจดทะเบียน ปัจจุบันมีหุ้นที่เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินธุรกิจและลงทุนกระจายไปยังต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 47% ทำให้หุ้นที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยมีการกระจายความเสี่ยง และมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตที่ไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยในประเทศเท่านั้น แต่เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกอื่นๆ ทำให้หุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยถือเป็นหุ้นในระดับโลกที่สร้างความน่าสนใจกับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี

หุ้นไทยยังมีหุ้นจำนวนมากกว่า 41 บริษัท ที่ถูกคิดคำนวณในดัชนี MSCI และมีมากกว่า 20 บริษัท ที่ถูกคิดคำนวณในดัชนี DJSI และมี 7 บริษัทที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมของโลก ซึ่งการที่เปิดกว้างของตลาดหุ้นไทยและผลักดันบริษัทต่างๆให้มีการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเป็นสิ่งที่ส่งผลให่ธุรกิจมีการเติบโตขึ้น และสามารถดึงดูดความน่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติได้ ทำให้


ขณะที่แนวโน้มกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหุ้นไทยที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Well-being ได้แก่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มขนส่ง และกลุ่มสินค้าแฟชั่น ซึ่งมีขนาดรวมกันสูงถึงกว่า 30% ของขนาดตลาดรวมในตลาดหุ้นไทย ซึ่งเป็นแนวโน้มในระยะต่อไปที่นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะให้ความสนใจในการลงทุนมากขึ้น