หุ้น IT เริ่มปรับตัวลง เป็นการเริ่มต้นของ Stock Rotation หรือไม่?
คอลัมน์ 10 เรื่องต้องรู้ สู่ความมั่งคั่ง โดย...นิษณากาญจน์ ภาษวัธน์ ธนาคารกสิกรไทย
1. หลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้เกิดโอกาสมากมายในการลงทุน โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มบริษัทที่เรียกได้ว่าเป็น Winners ที่ได้รับประโยขน์โดยตรงจากการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ที่เหมือนเป็นตัวเร่งให้เทรนของโลก และการใช้ชีวิตของผู้คนเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ Work from Home การสั่งของออนไลน์ อย่าง E-commerce และ การรักษาสุขภาพ อย่างกลุ่ม Health Care
2. กลุ่มธุรกิจ IT คือผู้ที่ได้รับประโยขน์โดยตรง ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยีเก็บข้อมูลผ่าน Cloud การประชุมออนไลน์ เช่น Zoom เจ้าของแฟลตฟอร์มการประชุมออนไลน์ ที่ล่าสุดรายงานผลประกอบการในไตรมาส 2 ที่โตขึ้นแรงกว่า 355% ขณะที่จำนวนผู้ใช้งานก็โตกว่า 458% ส่งผลให้ราคาหุ้นตั้งแต่ต้นปีพุ่งขึ้นไปแล้วราว 415.7%
3. กลุ่ม Consumer Discretionary โดยเฉพาะ E-commerce อย่าง Amazon ที่ราคาหุ้นปรับขึ้น 70.5% ตั้งแต่ต้นปี โดยสามารถทำรายได้สูงขึ้นเป็น 2 เท่าในช่วงการแพร่ระบาด นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจบริการจัดส่งอาหาร หรือ Food Delivery ก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เช่น Meituan Dianping ที่ไตรมาส 2 ประกาศรายได้ที่เติบโตขึ้นถึง 51% ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา 130.8% ตั้งแต่ต้นปี
4. กลุ่ม Health Care โดยเฉพาะบริษัทผู้ผลิตยาที่แข่งกันคิดค้นยารักษา และวัคซีนต้านโรคโควิด 19 ก็น่าสนใจ ไม่แพ้กัน หากพิจารณาผลตอบแทนของหุ้นกลุ่ม Health Care ตั้งแต่ต้นปีอยู่ที่ 5.2% แต่หากดูแค่ผลตอบแทนของหุ้นกลุ่ม Pharmaceuticals นั้นสามารถ outperform ได้ ยกตัวอย่างบริษัท Moderna ผู้ผลิตวัคซีนต้านโรคโควิด 19 ในชื่อ mRNA-1237 ซึ่งปัจจุบันทดลองและพัฒนาวัคซีนอยู่ในเฟสที่ 3 ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 177.8% ตั้งแต่ต้นปี แน่นอนว่าหากผู้คนทั่วโลกต้องใช้ยาเหล่านี้นั่นหมายถึงโอกาสทางการเติบโตของกำไรสุทธิที่สูงขนาดไหน
5. ต้องยอมรับว่าหุ้นกลุ่ม IT เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตสูงมานานตามคำนิยามของ “หุ้น Growth” ทำให้ความสำคัญของบริษัทกลุ่ม IT เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สะท้อนจากสัดส่วนบริษัทกลุ่ม IT ที่คิดเป็น 38.5% ของดัชนี MSCI USA, 8.9% ของดัชนี MSCI Europe, 48.2% ของดัชนี MSCI China และ 13.5% ของดัชนี MSCI Japan ซึ่งการแพร่ระบาดของโควิด 19 จะช่วยยกระดับความสามารถในการเติบโตของบริษัทกลุ่ม IT ได้อีกมหาศาล
6. นอกจากนี้ กำไรสุทธิต่อหุ้นของบริษัทกลุ่ม IT คาดว่าจะขยายตัวได้ 2.5% ในปี 2020 ขณะที่คาดการณ์กำไรสุทธิของดัชนี MSCI World คาดว่าจะหดตัวถึง 20.4% ดังนั้นในแง่ของความกังวลว่า Valuation หรือราคาหุ้นกลุ่ม IT ในปัจจุบันแพงไปแล้วหรือไม่ ด้วยกำไรสุทธิที่คาดว่าจะโดดเด่นกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอื่นจึงทำให้ PE Ratio เมื่อเทียบกับคาดการณ์กำไรสุทธิปี 2021 จะพบว่ากลุ่ม IT ซื้อขายอยู่ที่ 26 เท่า ซึ่งสูงจากระดับ 18.8 เท่าของดัชนี MSCI World ไม่มากนัก
7. แต่ล่าสุด ในช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นนำโดยกลุ่ม IT และ Consumer Discretionary ปรับตัวลงต่อเนื่อง เช่น หุ้น Tesla -26.2%, หุ้น Apple -14.1%, หุ้น DexCom -13.1%, หุ้น Microsoft -12.5% และหุ้น Alphabet -11.3% (ข้อมูล ณ วันที่ 2-8 กันยายน 2020) อันเป็นผลมาจากความกังวลเรื่องความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมถึงการแพร่ระบาดระลอก 2 ในยุโรปที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
8. ทั้งนี้ เรามองว่า การปรับฐานรอบนี้เป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นหลังจากปรับตัวขึ้นมาแรงและนาน ตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา นักลงทุนจึงมีการขายเพื่อทำกำไรบ้าง ซึ่งถือว่าเป็น Healthy Correction มากกว่าการเกิด Stock Rotation เข้าสู่หุ้นคุณค่า หรือ หุ้น Value ที่มักเป็นบริษัทปัจจัยพื้นฐานดี แต่ซื้อขายต่ำกว่าราคาที่เหมาะสม เช่น กลุ่มอุตสาหกรรม และวัสดุก่อสร้าง ที่ outperform ในช่วงหลังๆ
9. อย่างไรก็ดี หากมองไปข้างหน้า ปัจจัยหนุนของกลุ่ม Winners ยังคงแข็งแกร่ง ด้วยสภาพแวดล้อมของดอกเบี้ยโลกที่ยังต่ำไปอีกนาน รวมถึงนโยบายการคลังที่ยังคงทยอยออกมาต่อเนื่องเพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งยังเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่ม Growth ที่เติบโตดีทั้งทางด้านบรรยากาศการลงทุน โมเมนตัม และกำไรสุทธิที่จะเติบโตขึ้นดี นอกจากนี้ New Normal เป็นเหมือนตัวเร่งให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปอย่างถาวรโดยพึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น
10. ปัจจัยเสี่ยงหลักของหุ้นกลุ่ม Winners แน่นอนว่าจะมาจากนโยบายการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโจ ไบเดน ที่มีคะแนนนำ เนื่องจากหลายนโยบาย ทั้งการขึ้นภาษีนิติบุคคล กฎหมายต่อต้านการผูกขาดของบริษัท IT เจ้าใหญ่ๆ ไปจนถึงการจัดการกับราคายาที่แพงเกินไป ซึ่งเรายังมองว่าความเสี่ยงด้านการเมืองต่อหุ้นกลุ่มนี้ยังต่ำ เพราะ สหรัฐฯ เองก็ยังต้องพึ่งพาบริษัทเหล่านี้ในการต่อสู้สงครามเทคโนโลยีกับจีน