พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล คุณหมอนักบริหาร
หญิงเก่งแห่งวงการเวชศาสตร์ชะลอวัย พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล วัย 39 ปี หรือหมอผิง
โดย...กาญจนา อายุวัฒน์ธนชัย ภาพ กิจจา อภิชนรจเรข
หญิงเก่งแห่งวงการเวชศาสตร์ชะลอวัย พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล วัย 39 ปี หรือหมอผิง ที่หลายคนรู้จักในฐานะกูรูด้านสุขภาพ แต่ชีวิตจริงเธอมีหลายด้าน ทั้งบทบาทคุณหมอผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ชะลอวัยซึ่งเป็นภารกิจหลักประจำวัน เป็นผู้บริหารโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท และอีกบทบาทที่เกิดจากความชอบส่วนตัว กับการเป็นนักเขียน นักแปล และเจ้าของสำนักพิมพ์พลีสเฮลท์ โซลูชั่น ที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อผลิตหนังสือที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนเห็นความสำคัญของสุขภาพตั้งแต่วัยรุ่น ในสไตล์การเขียนที่ย่อยเรื่องแพทย์ให้เป็นเรื่องง่าย แบบที่เด็กและผู้ใหญ่อ่านแล้วเข้าใจ และสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
คุณหมอ
อาชีพแรกของเธอคือ หมอ หมอผิงจบการศึกษาระดับแพทยศาสตรบัณฑิต โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้นได้ศึกษาต่อหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาตจวิทยา ที่มหาวิทยาลัยบอสตัน สหรัฐ และได้เลือกศึกษาด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยโดยตรงจากสถาบันเวชศาสตร์ชะลอวัยแห่งสหรัฐ
เธอเริ่มทำงานจากการเป็นหมอใช้ทุนที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ และเมื่อจบการศึกษาด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย เธอก็ได้กลับมาเป็นหมอผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์การชะลอวัย โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท จนถึงตอนนี้
“หมอรู้สึกว่าโรคทั้งหลายมีสาเหตุจากไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตค่อนข้างเยอะ” หมอผิง กล่าว “โรคในกลุ่มปัจจุบันที่เป็นโรคในกลุ่มเอ็นซีดี เช่น โรคเบาหวาน ความดัน อ้วนลงพุง ไขมันในเลือดสูง มันเป็นโรคของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งโรคเหล่านี้พันธุกรรมก็มีส่วน แต่สิ่งที่มีส่วนมากๆ คือไลฟ์สไตล์ หรือการเลือกใช้ชีวิตของเราเอง ซึ่งต้องยอมรับว่าตอนที่หมอเรียนยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงเรื่องนี้ การตื่นตัวในเรื่องสุขภาพของคนไทยน้อยมาก เรายังไม่มีคำว่าอาหารคลีนเกิดขึ้น ยังไม่มีรายการวิ่งทุกเดือนอย่างตอนนี้ หมอจึงคิดว่าศาสตร์การชะลอวัยน่าสนใจ
ประกอบกับเรื่องของความสวยความงาม เรามักมองแต่ภายนอก แต่จริงๆ แล้วการที่ผิวพรรณจะดี มันต้องดูแลตั้งแต่ภายใน เรามักจะรอให้แก่ก่อน เห็นริ้วรอยแรกแล้ว เห็นผมหงอกแรกแล้วถึงจะเริ่มมาดูแลไม่ให้ตัวเองแก่ แต่จริงๆ เราต้องดูแลตั้งแต่โตเป็นสาว เหมือนกับออมก่อนรวยกว่า ถ้าเราดูแลก่อนก็จะส่งผลดีมากกว่า ซึ่งหมอว่าเรื่องเหล่านี้น่าสนใจ เพราะโดยส่วนตัวหมอเองเป็นคนชอบทำอาหาร ชอบรับประทานอาหารสุขภาพ มีความสุขกับการรับประทานอาหารดี ชอบออกกำลังกาย เลยคิดว่าศาสตร์เหล่านี้เราเรียนเองและทำเองด้วย มันเป็นสิ่งที่สนุกมากๆ”
เธอยังกล่าวด้วยว่า เมื่อพูดถึงคำว่าการชะลอวัย คนส่วนใหญ่จะนึกถึงเรื่องความสวยความงาม คนไข้ของเธอส่วนใหญ่จึงจะมารับการรักษาเรื่องริ้วรอย ผิวพรรณ หรือบางคนภายนอกดูดีอยู่แล้วแต่มาหาหมอเพื่อต้องการทราบหลักการกินอาหารที่เหมาะสมกับร่างกาย หรือโปรแกรมการออกกำลังกายที่ถูกต้องเฉพาะคน กล่าวคือ ศาสตร์ชะลอวัยไม่ได้พูดถึงแค่ใบหน้าเท่านั้น แต่หมายรวมถึงทั้งหมดของร่างกายหรือสุขภาพองค์รวม
“มันคือเวลเนส (Wellness) หรือการทำอย่างไรให้สุขภาพดี” หมอผิงสรุป “การเป็นหมอมา 6 ปี ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าต้องทำอย่างไรให้คนที่สุขภาพดีอยู่แล้วมีสุขภาพดีต่อไป เพราะสัดส่วนระหว่างคนป่วยกันคนไม่ป่วยในโลก เรามีคนสุขภาพดีมากกว่า หน้าที่ของหมอคือจะทำอย่างไรให้คนส่วนมากเหล่านั้นห่างไกลจากโรคได้ ทำให้ร่างกายแข็งแรงต่อไปได้ ซึ่งหมอว่าเรื่องเหล่านี้มันส่งผลดีต่อคนมาก”
หมอผิง เผยว่า สำหรับคนไทยปัญหาที่พบมากที่สุดคือความอ้วน จากการที่ได้ทำงานร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ในโครงการคนไทยไร้พุง ทำให้ทราบว่าปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้คนเปลี่ยนอาหารและเปลี่ยนการใช้ชีวิต จากเดิมคนไทยเป็นสังคมเกษตรกรรม มีการเคลื่อนไหวมาก กินอาหารที่ปลูกเอง แต่ตอนนี้กลายเป็นสังคมที่นั่งอยู่เฉยๆ และรับประทานอาหารตะวันตกมากขึ้น การออกกำลังกายระหว่างวันน้อยลง ซึ่งล้วนแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ
“คนสมัยก่อนพอมีอะไรก็จะเดินไปข้างบ้าน แต่เดี๋ยวนี้มีอะไรก็ไลน์หากัน อย่างหมอ หมอจะไม่มีเบอร์เลขาฯ ในห้องทำงาน เพราะถ้ามีเรื่องอะไรหมอก็จะเดินไปหา เป็นการกลั่นแกล้งตัวเองให้เดิน”
เธอให้ความรู้ด้วยว่า พฤติกรรมทุกอย่างส่งผลต่อสุขภาพ อย่างถ้าออกกำลังกายหนักแต่รับประทานอาหารไม่ดี ก็ใช่ว่าสุขภาพจะดี หรือถ้ากินดี ออกกำลังกายดี แต่เป็นคนเครียดตลอดเวลา ก็ผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน ดังนั้นการมีสุขภาพที่ดีพร้อมกับสุขภาพจิตที่ดี คือสองสิ่งสำคัญที่ทำให้มีชีวิตดีและมีความสุข หลักสำคัญมีอยู่เท่านี้เอง
ผู้บริหาร
หมอผิงได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท เมื่อเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมีหน้าที่ดูแลในส่วนที่ถนัดทั้งด้านการชะลอวัย เวลเนสเซ็นเตอร์ (ส่วนเช็กอัพ) และวีเมน เฮลท์ เซ็นเตอร์ (ส่วนของสุขภาพสตรี) ซึ่งนอกจากหน้าที่บริหาร เธอก็ยังคงเป็นหมอด้านการชะลอวัย และยังตรวจคนไข้อยู่เหมือนเดิม
“หน้าที่ของโรงพยาบาลคือเราจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างดีที่สุดสำหรับคนไข้ เราประชุมกันถึงปัญหา วิธีการแก้ไข และการพัฒนา แบบนี้ซ้ำๆ ไปทุกวัน หมอเชื่อว่าทุกองค์กรมีปัญหาให้คิดทุกวัน เราต้องหาปัญหาที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น แล้วมาเบรนสตอร์มกันเพื่อแก้ปัญหาร่วมกัน ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ”
ตำแหน่งผู้บริหารจึงเป็นบทบาทใหม่และท้าทาย โดยแต่ละวันเธอไม่เคยนับชั่วโมงทำงาน เพราะเมื่ออยู่ที่โรงพยาบาลเธอทำหน้าที่เป็นคุณหมอและผู้บริหาร และเมื่ออยู่บ้านเธอก็ยังทำงานเป็นนักเขียน เป็นบรรณาธิการ และต้องดูแลสำนักพิมพ์
นักเขียน
“การเขียนหนังสือถือเป็นช่วงเวลาพักผ่อนของหมอ” เธอกล่าวถึงชีวิตอีกด้านที่ทุ่มเทให้กับหนังสือ “การที่เราได้นั่งเงียบๆ แล้วเขียน มันเหมือนกับเราได้รีแลกซ์ ได้ออกจากบทบาทความเป็นหมอบ้าง”
เธอสารภาพว่าอาชีพหมอเป็นอาชีพที่เครียดจริง เพราะเป็นอาชีพที่ต้องพยายามทำให้ตัวเองเป็นเพอร์เฟกชันนิสต์ตลอดเวลา หากไม่สมบูรณ์แบบอาจหมายถึงการสูญเสียอะไรบางอย่างของคนไข้ ซึ่งแม้ตัวงานจะเครียด แต่เธอไม่ไปเครียดกับงาน แต่ทำงานด้วย "จิตว่าง" คือทำไปตามกระบวนการ แต่ไม่ใส่อารมณ์ร่วม
“ตอนเป็นหมอช่วงแรกๆ มันจะยังมีไฟเยอะมาก รู้ว่ามันมีข้อน่าสนใจมากมายเกี่ยวกับการแพทย์ ถ้าเราเขียนเล่าให้มันง่ายขึ้นในเรื่องของการดูแลตัวเอง ก็น่าจะช่วยให้คนไข้มีสุขภาพดีขึ้นได้ หมอเลยลองเขียนต้นฉบับดูแล้วส่งให้สำนักพิมพ์ และสุดท้ายได้ตีพิมพ์ออกมาจริงๆ ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้หมอมีแรงเขียนต่อไปเรื่อยๆ” เธอกล่าวถึงจุดเริ่มต้น
ผลงานเล่มแรกวางขายเมื่อปี 2551 กับเรื่อง Anti-aging สูตรลับชะลอวัย จากนั้นเล่มสองได้ออกตามมาติดๆ เรื่อง Anti-aging สวยปิ๊งสมองไบรท์ จนถึงปัจจุบันหมอผิงได้ฝากผลงานพ็อกเกตบุ๊กแนวสุขภาพไว้ 14 เล่ม อาทิ ผอมได้ไม่ต้องอด เคมีรักระหว่างเรา เลิกลดแล้วจะผอม อ่านแล้ว Young และ Microbiota อวัยวะที่ถูกลืม เป็นต้น
“กลายเป็นว่าติดลมอยากเขียน” เธอสารภาพ และจากที่ชอบเขียน ตัวหนังสือได้จุดประกายให้เธอคิดอยาก "ทำ" หมอผิงจึงตัดสินใจก่อตั้งสำนักพิมพ์พลีสเฮลท์ โซลูชั่น (PleaseHealth Solutions) เพื่อผลิตหนังสือของตัวเอง เล่มแรกเรื่อง อยู่แล้ว Young ได้กระแสตอบรับดีเกินคาด ทำให้ทำไปทำมาเริ่มมีนักเขียนคนอื่นเข้ามาจนสำนักพิมพ์กลายเป็นธุรกิจส่วนตัวที่สามารถสร้างรายได้และตอบโจทย์ความชอบส่วนตัว
“ทั้งหมดทั้งมวลเกิดขึ้นจากความชอบล้วนๆ”
นอกจากนี้ เธอยังเป็นคอลัมนิสต์ให้สื่อต่างๆ รวมถึงเป็นเจ้าของทวิตเตอร์ Thidakarn ที่มีคนตามกว่า 2 แสนคน และอินสตาแกรม @Thidakarn ที่ให้ไอเดียเรื่องการทำอาหารคลีนด้วยตัวเอง
กิจวัตรประจำวันอันน่าทึ่งของคนงานยุ่งอย่างหมอผิง เริ่มตั้งแต่ตี 5 เธอตื่นมาวิ่งออกกำลังกาย ทำอาหารเช้า ประชุมที่โรงพยาบาล (ทุกวัน) ทำงานบริหาร ออกตรวจคนไข้ จากนั้นกลับบ้าน ทำงานด้านสำนักพิมพ์ต่อ เขียนหนังสือ อ่านหนังสือ และเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ หรืออย่างน้อยวันละ 7 ชั่วโมง ส่วนการดูแลสุขภาพใจ เธอเน้นการฟังและอ่านธรรมะด้วยแนวคิด “เพราะชีวิตมีทั้งสุขและทุกข์ เวลาสุขก็อย่าสุขมาก และเวลาทุกข์ก็อย่าทุกข์มาก เพราะสุขทุกข์เรามีสลับกันไป ไม่มีอะไรอยู่กับเราอย่างถาวร”
อันเป็นเคล็ดไม่ลับให้หมอผิงยังสาวและสุขภาพดี สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านศาสตร์ชะลอวัย