posttoday

จ๊ะ อาร์สยาม ในวันที่มีทุกอย่างที่ฝัน

09 ตุลาคม 2557

“สิบนิ้ววันทาสาธุสั่ง... นี่เสียงของจ๊ะ...คันหู สวัสดีท่านที่มาดู น้องจ๊ะคันหู... วันนี้ ขอให้วรรณะ สุขะ พละ... ให้ได้พรพระสัพพี...”

โดย...พงศ์ พริบไหว ภาพ ประกฤษณ์ จันทะวงศ์ 

“สิบนิ้ววันทาสาธุสั่ง... นี่เสียงของจ๊ะ...คันหู สวัสดีท่านที่มาดู น้องจ๊ะคันหู... วันนี้ ขอให้วรรณะ สุขะ พละ... ให้ได้พรพระสัพพี...”

นงผณี มหาดไทย หรือจ๊ะ อาร์สยาม สาววัย 23 ทักทายด้วยเสียงเอื้อนแบบลิเก ลูกคอ 7 ชั้น ฟังแล้วเพลิดเพลิน หลังร้องจบเธอยิ้มพลางพูดน้ำเสียงเหน่อๆ ว่า เพราะเปล่าค่ะ จริงๆ แล้วหนูเสียงดีนะ (หัวเราะ)

จ๊ะในวันนี้ดูแปลกตาไป เธอดูเติบโตขึ้นพร้อมจริตจะก้านจากสาวห้าวก็ค่อนไปทางอ้อนแอ้นเรียกได้ว่า รัศมีลูกทุ่งเงินล้านจับเป็นออร่า เธอไม่ได้ยืนอยู่ในจุดที่เราเคยต่างรู้จักในสมญา จ๊ะ คันหู ผู้มีลีลาสุดเร่าร้อนบนเวทีอีกต่อไป ความสามารถและความมุ่งมั่นตั้งใจส่งให้สาวตากลมคนนี้มาไกลกว่าคำว่า นักร้องบ้านนอก แล้ว

สาวบ้านนาจาก จ.อ่างทอง ในคณะลิเกบรรจงรักวิทยาคูณ ที่ทำงานหาเงินตั้งแต่เด็ก ส่งเสียตัวเองเรียนจนจบปริญญาตรี ก่อนเลือกทำความฝันของพ่อด้วยการสมัครเรียนต่อปริญญาโท ทั้งยังทำความฝันตัวเองไปพร้อมๆ กัน ความฝันที่ว่าด้วยเรื่องของเสียงดนตรี...

“บ้านหนูเป็นครอบครัวลิเกแล้วในคณะลิเกก็จะมีวงปี่พาทย์ซึ่งมีวงดนตรี ทีนี้พี่ๆ ในวงเขาก็เห็นหนูประกวดร้องเพลงมาตั้งแต่เด็กแล้วก็ร้องเพลงเพราะ เขาก็เลยไปขออนุญาตแม่หนูให้ไปร้องในวงดนตรีกับเขาด้วย แม่เห็นว่าหนูชอบร้องเพลงก็เลยให้ไป แต่ตอนแรกๆ หนูขี้อายมากเลยนะ เวลาใส่กระโปรงก็ใส่กางเกงสเตย์ยาวไว้ข้างในตลอด คือหนูจะเขินมาก เวลาใครมาขอจับมือก็เอาไมค์ไปเคาะหัว (หัวเราะ) ตอนนั้นก็ถูกจ้างให้ร้องในวงดนตรีมาตั้งแต่ ป.6”

จ๊ะ อาร์สยาม ในวันที่มีทุกอย่างที่ฝัน

 

ช่วงเวลานั้นเธอใช้ชีวิตแบบเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ยิ่งเริ่มเป็นสาวฝีมือการแสดงบนเวทีของเธอก็ดีขึ้นมาก จากเขินอายก็กลายเป็นใส่ไม่ยั้ง เพื่อให้คนที่มาชมได้รับความสุขกลับไป

“พอเริ่มเรียนมัธยมปลายหนูก็รับจ้างร้องเพลงทั่วไปตามวงต่างๆ แล้วแต่ใครจะมาจ้าง จนได้ไปร้องในวงดังๆ ของ จ.สุพรรณบุรี หลายๆ วง ซึ่งตอนนั้นก็ร้องเพลงเร็วๆ เต้นแรงๆ แล้วนะ ในสไตล์เอนเตอร์เทน ด้วยความที่เราเห็นแดนเซอร์เขาเต้นแล้วดูสนุก หนูก็อยากเต้นแบบนั้นบ้าง จากที่อายๆ ก็จัดเต็มเลยทีนี้ จนพบว่านี่มันใช่ทางเราที่สุดแล้ว (หัวเราะ)

ช่วงนั้นเราไปเห็นนักร้องคนหนึ่งร้องเพลงแล้วเต้นโยกเอวเบาๆ อะไรแบบนั้น เราก็เอามาจัดเต็มแบบเราเลย ทั้งท่าเต้นทั้งเสียงร้อง แล้วตอนทางวงดนตรีเวลาเขาขายงานเขาก็จะถ่ายวิดีโอตอนเราแสดงคอนเสิร์ตไว้ไปลงในยูทูบ ทีนี้มันก็ดังขึ้นมาเฉยเลย โดยเฉพาะเพลงเร็วๆ ที่เราเต้นแรงๆ ส่วนเพลงที่เราแต่งตัวเรียบร้อยๆ ไปร้องเพลงช้าๆ กลับไม่มีคนดู

มันก็เป็นกระแส มีแต่คนโทรมาบอกหนูว่า คลิปหนูร้องเพลงไปอยู่ตามเว็บต่างๆ เต็มไปหมด หนูไม่เคยเล่นอินเทอร์เน็ตก็ยังงง ว่ามันคืออะไร สุดท้ายถึงรู้โอโห้! ทำเอาหนูไม่กล้าออกจากบ้านไปไหนเลยช่วงนั้น เพราะมีแต่คนไม่เข้าใจมาด่ามาว่าแบบพ่อแม่ไม่สั่งสอน มาว่าหนูขายตัว โห้! หนูอยากบอกพวกเขามากเลยนะ ถ้าหนูขายตัวจะมาร้องเพลงหาเงินทำไม” ถึงประโยคนี้จ๊ะถึงกับทำหน้าตาจริงจัง

จ๊ะ อาร์สยาม ในวันที่มีทุกอย่างที่ฝัน

 

“ช่วงนั้นหนูเครียดมากเลยนะ หนูร้องไห้ทุกวันเลยว่าทำไมคนไม่เข้าใจเรา หนูทำงานหาเงิน แต่คนก็ไปตีความว่าเราขายตัว คือจริงๆ คำมันแรงกว่านี้มาก แต่หนูคงพูดออกอากาศไม่ได้ (รอยยิ้มเริ่มกลับมาอีกครั้ง) ช่วงนั้นก็เลยเดินไปบอกกับหัวหน้าวงว่า จ๊ะจะไม่ร้องเพลงแล้ว แต่พี่เขาก็ตอบกลับมาทำให้หนูได้คิดนะ แล้วมันเป็นแรงผลักดันหนูมาจนถึงทุกวันนี้ พี่เขาพูดว่า จ๊ะต้องร้องเพลงต่อ ทำให้คนเห็นว่าเราไม่ได้เป็นแบบนั้น เราเป็นนักร้องที่สร้างความสุขให้คนดู จากนั้นหนูก็คิดได้ว่า ต้องทำให้คนเขาเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น แล้วอีกอย่างคนใกล้ตัวเราทุกคนเข้าใจเราหมด พ่อแม่เพื่อนให้กำลังใจจ๊ะตลอด”

แม้จะได้รับข้อเสนอจากหลายค่าย แต่จ๊ะก็ยังรักในอิสระที่จะร้องเพลงในแบบของตัวเอง ส่วนหนึ่งเพราะตั้งใจเรียนให้จบปริญญาตรีก่อน ด้วยความเป็นคนตรงๆ เธอปฏิเสธเพียงคิดว่าทำงานแบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว ซึ่งช่วงเวลา 2 ปีนั้น คิวงานของจ๊ะเรียกได้ว่ามีแสดงกันทุกวันมีงานกันข้ามปี หากคนไม่ชื่นชมหรือชอบในสิ่งที่เธอเป็นวันนี้ สาวเจ้าคงเป็นได้แค่นักร้องรับจ้าง มิได้เป็นดาวรุ่งแห่งวงการลูกทุ่งอย่างที่เห็น

“คือหนูคิดผิด พอไม่มีค่ายหลังๆ งานเราเยอะมาก ซึ่งมีปัญหาต่อการเรียน เพราะไม่มีเวลาเข้าเรียนเลยวันหนึ่งแสดง 3 งาน เวลานอนก็น้อยแล้วนะ แล้วหนูเป็นคนที่ตั้งเป้าไว้สูงมาก เราอยากเรียนและอยากมีเงินอยากมีเหมือนคนอื่น ตอนนั้นก็คิดว่า หากเราทำงานที่มันเป็นแบบมืออาชีพ มีระบบหนุนน่าจะจัดการเรื่องที่เราตั้งเป้าได้ ซึ่งก็คือการสังกัดค่ายเพลง แล้วหนูตัดสินใจแบบไม่อายเลย ไปเสนอตัวเข้าค่ายอาร์สยาม (หัวเราะ) เพราะหนูคิดเองว่าที่นี่เหมาะกับหนูมาก คิดในใจว่าเขาจะรับเราไหมนะ พอเขาเรียกเข้าไปคุยกลับมาก็ไปบนพ่อแก่เลย แล้วสุดท้ายหนูก็ได้อยู่กับค่ายอาร์สยาม”

จ๊ะ อาร์สยาม ในวันที่มีทุกอย่างที่ฝัน

 

เมื่อเข้ามาอยู่ค่ายใหญ่ กว่าสาวจ๊ะจะได้ออกซิงเกิ้ลแรกก็ใช้เวลาจับทิศทางที่เธออยากได้อยู่นานมาก โดยเธอเล่าว่าเธออาจเป็นนักร้องที่เรื่องมากที่สุด และเอาแต่ใจตัวเองที่สุดเท่าที่เคยมีมาก็เป็นได้ ครูเพลงเขียนเพลงขึ้นมาก็มักจะปรับแก้ให้ใช่ตัวเองที่สุด เรียกว่าเขียนเพลงกันจนเหนื่อย เพราะเธอต้องการสไตล์ที่เป็นตัวเองและผู้ชมก็ยอมรับได้ สุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นเพลงที่ชื่อว่า “นิสัยฉันเปลี่ยนตามสันดานเธอ” เป็นเพลงช้าๆ ที่แฟนๆ เพลงของเธอต่างไม่คาดฝันเพราะมาในแบบกินใจเหลือเกินจนทำให้ยอดผู้ชมในยูทูบทะลุ 20 ล้านวิว 

“ตอนแรกเราคิดว่าเวลาร้องเพลงช้าคนจะเข้าใจว่าใช่หนูไหม แต่ผลตอบรับดีมากเลยนะ มีแต่คนชม หนูก็ปลื้มสิคะ และด้วยเนื้อหาของเพลงก็ทำให้มีกระแสตอบรับดีจนต้องรีบปล่อยซิงเกิ้ลที่ 2 อย่างเพลง “เห็นนางเงียบๆ ฟาดเรียบนะคะ” ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่หนูคิดว่าเป็นตัวเองมากๆ เพราะผ่านการคิดร่วมกันหลายขั้นตอน ซึ่งเป็นเพลงเร็วที่มีเนื้อหาโดนใจ ทั้งมีท่าเต้นสนุกๆ แล้วก็เป็นเพลงที่ได้รับผลตอบรับดีนะ อย่างตอนนี้เดือนหนึ่งที่ปล่อยซิงเกิ้ลไป มียอดวิว 10 ล้านแล้วนะคะ”

สำหรับเธอในวันนี้ คำว่าเดินทางมาไกลคงธรรมดาไปเสียแล้ว เพราะจ๊ะมีเกินกว่าสิ่งที่ตั้งหวังไว้มาก ไม่ว่าจะเรื่องความฝัน เรื่องเรียน และเรื่องความมั่นคงของชีวิต จริงอยู่หลายสิ่งในตัวเธออาจเปลี่ยน แต่หัวจิตหัวใจที่เข้มแข็งของเธอยังคงเดิม

“ขอบคุณทุกคำดูถูกที่เป็นแรงผลักดันให้หนูสู้กับความเหน็ดเหนื่อย ทำให้ทุกวันนี้หนูมีทุกอย่างที่ฝัน”

จ๊ะ อาร์สยาม ในวันที่มีทุกอย่างที่ฝัน

 

จ๊ะ อาร์สยาม ในวันที่มีทุกอย่างที่ฝัน

 

จ๊ะ อาร์สยาม ในวันที่มีทุกอย่างที่ฝัน

 

จ๊ะ อาร์สยาม ในวันที่มีทุกอย่างที่ฝัน