posttoday

กกร.ชงรัฐเร่งอัดฉีดงบ 2 แสนล้าน เพิ่ม 'เงินคนละครึ่ง' เป็น 5 พันบาท

06 มกราคม 2564

กกร.ชี้โควิดรอบใหม่ทำเศรษฐกิจไทยชะงัก หั่นเป้าจีดีพีปีนี้เหลือ 3.5% ย้ำคุมให้ได้ใน 3 เดือน เสนอรัฐบาลเร่งนำงบ 2 แสนล้านบาทกระตุ้นเศรษฐกิจ ขยายเวลาโครงการคนละครึ่งออกไปอีก 3 เดือน พร้อมเพิ่มเงินต่อหัวเป็น 5,000 บาท

นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) สภาหอการค้าไทยและ สมาคมธนาคารไทย ว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ในประเทศทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหยุดชะงัก การท่องเที่ยวในประเทศซึ่งเป็นเครื่องยนต์หลักของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจตลอดครึ่งหลังของปี 2563 ไม่สามารถเดินต่อได้ชั่วคราว หลังจากมีมาตรการเข้มงวดจำกัดการเดินทางในหลายจังหวัดที่มีประชากรมากหรือเป็นจุดหมายของการท่องเที่ยวในประเทศ

ทั้งนี้คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือน และยังส่งผลลบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน สำหรับกิจกรรมการผลิตในภาคอุตสาหกรรมจะได้รับผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ เนื่องจากประเทศสำคัญๆ ใน Global supply chain อย่างจีนและไต้หวันยังควบคุมการระบาดได้ดี ทั้งนี้ ภาคการส่งออกในช่วงต้นปี 2564 อยู่ภายใต้ข้อจำกัดจากปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งออกรวมถึงค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่า

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มว่าจะช้ากว่าที่คาดไว้เดิม รวมถึงปัจจัยเสี่ยงและผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศ และการใช้งบประมาณเพิ่มเติมอีก 2 แสนล้านบาทในการพยุงเศรษฐกิจ ทางกกร. คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5- 3.5% หากควบคุมการแพร่ระบาดได้ภายในระยะเวลา 3 เดือน ลดลงจากประมาณการเดิมที่คาดว่าขยายตัวได้ 2-4 % ขณะที่การส่งออกในปี 2564 จะขยายตัวเพียง 3- 5 % ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 0.8% ถึง 1.0%

อย่างไรก็ตามทางกกร.จัดทำข้อเสนอไปยังรัฐบาล เพื่อหามาตรการควบคุม โรคระบาดและช่วยเหลือผู้ประกอบการ แรงงานที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้1. ต้องเร่งควบคุมการแพร่ระบาดและบังคับใช้มาตรการต่างๆที่ประกาศออกมาอย่างเคร่งครัด ควรจะ focus แม่นยำ ตรงจุด ถึงต้นตอการแพร่กระจาย โดยเฉพาะควบคุมดูแลที่อยู่ของคนงานต่างด้าวให้เหมาะสม และเร่งจับผู้กระทำผิดทั้งบ่อนการพนัน และการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอย่างผิดกฎหมาย รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นให้สินค้าของประเทศว่าปัญหาการแพร่ระบาดส่วนใหญ่มาจากคนสู่คน ไม่ใช่จากอาหารหรือสินค้าสู่คน

2.ขอให้ภาครัฐเร่งดำเนินการเรื่องงบประมาณช่วยเหลือ 2 แสนล้านบาท โดยให้กำหนดวิธีการให้ชัดเจนปฏิบัติได้เร็วและให้ส่งผลได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะมีความเห็นว่าจะสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจได้ ซึ่งอาจเป็นการต่ออายุโครงการคนละครึ่งและเพิ่มงบประมาณการใช้จ่ายต่อบุคคลจาก 3,000 เป็น 5,000 บาท มาตรลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เช่น ลดค่าไฟ 5% รวมถึงการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่าง Asset Warehousing และบรรษัทสินเชื่อขนาดกลางและขนาดย่อม (บสย.) อย่างมีประสิทธิภาพ

3.เร่งรัดเรื่องวัคซีนให้สามารถได้มาตามกำหนดเวลาและมีปริมาณที่เพียงพอรวมถึงกำหนดวิธีการและหลักเกณฑ์ในการกระจาย การขนส่ง และฉีดวัคซีน อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจัดลำดับผู้ที่ได้รับวัคซีนก่อนหลังอย่างเหมาะสม เป็นห่วงเรื่องหลักเกณฑ์การกระจายวัคซีน ถ้าคุมไม่ดี จำกัดผู้ได้รับวัคซีนให้เหมาะสม 4.เร่งรัดการใช้และการเจรจาการค้าทวิภาคี รวมถึงการให้สัตยาบันลงนามข้อตกลง RCEP ในการประชุมรัฐสภา เพื่อให้ข้อตกลงที่ลงนามไปเมื่อเดือน พ.ย. 63 มีผลบังคับใช้กลางปี 2564 เพื่อให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจมีแรงส่งเพิ่มในช่วงครึ่งปีหลัง

"ผมเชื่อว่ารัฐบาลจะคุมโควิดได้ ซึ่งการปรับลดจีดีพี อยู่บนพื้นฐานของการควบคุมโควิดได้ภายใน 3 เดือน และรัฐจะต้องนำงบ 2 แสนล้านบาทออกมาใช้พยุงเศรษฐกิจ โดยขยายเวลาโครงการคนละครึ่ง เพิ่มการใช้จ่ายจากคนละ 3,000 เป็น 5,000 บาท ขณะเดียวกันเรื่องการสื่อสารให้ข้อมูลต่างๆเป็นเรื่องสำคัญ ทางภาคเอกชนพร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลเต็มที่" นายกลินท์ กล่าว

ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เป็นห่วงเรื่องการระบาดโควิดรอบใหม่ เพราะยังมีจำนวนผุู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น สิ่งสำคัญคือการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง โดยเฉพาะครั้งนี้เป็นการเป็นการแพร่ระบาดจากคนสู่คน ไม่ใช่จากสินค้าหรืออาหาร ไปยังคน สำหรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับแรงงานนั้น มีโอกาสคนตกงานเพิ่มขึ้น

นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า มาตรการรัฐบาลที่จะนำมาช่วยเหลือประชาชนครั้งนี้ ไม่ควรเป็นมาตรการแบบเหมาเข่ง ต้องพิจารณาจุดใดจุดหนึ่งที่ได้รับผลกระทบ ส่วนการดูแลลูกหนี้ของสถาบันการเงินนั้น เบื้่องต้น จะใช้นโยบายปรับโครงสร้างหนี้ได้จนถึงสิ้นปี 2564 ส่วนจะมีมาตรการอะไรเพิ่มอีกหรือไม่ อยู่ระหว่างการพิจารณาร่วมกัน