posttoday

ปตท.สผ.ปรับแผนรับมือโควิด หลังครึ่งปีกำไรวูบ 51%

30 กรกฎาคม 2563

ปตท.สผ.เดินหน้าฝ่าวิกฤตโควิด ปรับลดต้นทุน หั่นเป้าขายเหลือ 3.55 แสนบาร์เรลต่อวัน เลื่อนขุดเจาะสำรวจ หลังผลประกอบการ6เดือนแรกกำไร 1.29 หมื่นล้าน ลดลง 51%

นายพงศธร ทวีสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปี 2563 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 2,779 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 87,549 ล้านบาท) ลดลงประมาณ 7 % เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีปริมาณขายเฉลี่ยอยู่ที่ 345,207 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้น 6%  เป็นผลจากการเข้าซื้อกิจการของบริษัท เมอร์ฟี่ ออยล์ คอร์ปอเรชั่น ในประเทศมาเลเซีย และบริษัท พาร์เท็กซ์ โฮลดิ้ง บี.วี.

อย่างไรก็ตามเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องการใช้ปิโตรเลียมทั่วโลกลดลงอย่างมาก ประกอบกับสงครามราคาน้ำมันระหว่างซาอุดิอาระเบียกับรัสเซียเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ราคานํ้ามันดิบปรับตัวลดลงกว่า 50% จากต้นปีที่ผ่านมา มีผลให้ราคาขายผลิตภัณฑ์ของ ปตท.สผ. เฉลี่ยลดลงประมาณ 15% มาอยู่ที่ 40.15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562

ทั้งนี้ราคาขายผลิตภัณฑ์ของบริษัท ปรับตัวลดลงในสัดส่วนที่น้อยกว่าราคาน้ำมันดิบโลก ด้วยโครงสร้างราคาขายก๊าซธรรมชาติของ ปตท.สผ.ผูกกับราคาน้ำมันเพียงส่วนหนึ่งและมีการปรับราคาย้อนหลังประมาณ 6-24 เดือน

ส่วนของน้ำมันดิบซึ่งมีปริมาณการขายประมาณ 30 % ของปริมาณการขายทั้งหมด ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง บริษัทได้ทำสัญญาประกันความเสี่ยงไว้แล้วบางส่วน

ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ ปตท.สผ. มีกำไรสุทธิในช่วงครึ่งปีแรก จำนวน 409 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 12,935 ล้านบาท) ลดลง 51% เทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2562  โดยบริษัทยังคงสามารถรักษาระดับต้นทุนต่อหน่วยที่ 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ และมีอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา ในระดับร้อยละ 70 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

ส่วนผลประกอบการในไตรมาส 2 ปี 2563 นั้น ปตท.สผ. มีรายได้รวม 1,095 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 34,954 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิ 134 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(เทียบเท่า 4,323 ล้านบาท) จากปริมาณการขายและราคาผลิตภัณฑ์เฉลี่ยที่ลดลง ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้พลังงานที่ลดลงจากสถานการณ์โควิด-19 และราคาน้ำมันในตลาดโลกตกต่ำในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัทฯเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ได้อนุมัติเสนอจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลการดำเนินงานงวด6เดือนแรกปี 2563 ที่ 1.50 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดวันให้สิทธิผู้ถือหุ้น (Record Date) เพื่อรับสิทธิในการรับเงินปันผลวันที่ 14 ส.ค.2563 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 ส.ค. 2563 

นายพงศธร กล่าวว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังมีความผันผวน ประกอบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้พลังงานในประเทศ ปตท.สผ. จึงได้ปรับลดคาดการณ์ปริมาณการขายในปี 2563 เป็น 355,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ลดลงประมาณ 9% จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้

อย่างไรก็ตามบริษัทได้ปรับลดงบประมาณในปีนี้ลง 15-20% จากเดิมที่ตั้งไว้ 4,613 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เทียบเท่า 143,012 ล้านบาท) โดยได้พิจารณาตัดค่าใช้จ่ายบางส่วนและเลื่อนแผนการเจาะสำรวจในบางโครงการออกไป โดยยังสามารถรักษาระดับการผลิตตามสัญญาเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้ภายในประเทศ

ปตท.สผ.ปรับแผนรับมือโควิด หลังครึ่งปีกำไรวูบ 51%

รวมทั้งได้ปรับเปลี่ยนแผนกลยุทธ์การดำเนินงานด้านต่าง ๆ เพื่อรองรับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจที่มีความท้าทาย พร้อมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว 

“ปตท.สผ. ได้ประเมินผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจในอนาคต  โดยกำหนดทิศทางการดำเนินการและเป้าหมายระยะยาวใน 10 ปีข้างหน้า (ปี 2573) เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมถึงการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ซึ่งยอมรับว่าเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างท้าทายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวการณ์ปัจจุบันที่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

โดยหลัก ๆ แล้วยังคงมุ่งเน้นเรื่องการปรับลดโครงสร้างต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าลดต้นทุนต่อหน่วยให้อยู่ในระดับชั้นนำของกลุ่มอุตสาหกรรม (Industry top quartile) เพื่อให้บริษัทมีความคล่องตัวและรองรับการเปลี่ยนแปลงในช่วงราคาน้ำมันผันผวนและยังมีกระแสเงินสดสำหรับการลงทุนต่อยอดธุรกิจในด้านต่าง ๆ โดยตั้งเป้าอัตราการเติบโตของการผลิตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 5% และมีอัตราส่วนปริมาณสำรองต่อการผลิต (R/P ratio)ที่ 7 ปี 

นอกจากนี้ บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนธุรกิจก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) แบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงโรงงานผลิต (Upstream & Liquefaction) และการลงทุนในธุรกิจใหม่ โดย ปตท.สผ.ให้ความสนใจกับการลงทุนในธุรกิจไฟฟ้า และธุรกิจหุ่นยนต์และปัญญาประดิษฐ์  เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงด้านธุรกิจพลังงานและการเติบโตในอนาคต ซึ่งตั้งเป้าว่าธุรกิจใหม่ดังกล่าวจะสามารถสร้างผลกำไรได้ร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิของ ปตท.สผ. ในอีก 10 ปีข้างหน้า ” นายพงศธร กล่าว