'โควิด-19' ฉุดดัชนีเชื่อมั่นฯต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แนะรัฐแจกเงินครบ18ล้านคนกระตุ้นเศรษฐกิจดีกว่า
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค.ต่ำสุดในรอบ21 ปี 6 เดือน ผลพวงไวรัสโควิด-19 ฉุดภาคธุรกิจทั้งระบบ คนไทยเกิดความกังวล กำลังซื้อลด กดเศรษฐกิจไทยเข้าสู่โหมดถดถอย แนะรัฐแจกเงิน5พันบาท ครบ 18 ล้านคน 3 เดือน ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีกว่า
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงผลการสำวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมี.ค. อยู่ที่ระดับ 50.3 ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ในรอบ 21 ปี 6 เดือน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมเดือน มี.ค. อยู่ที่ 41.6 ลดลงจากเดือน ก.พ.63 ที่อยู่ในระดับ 52.5
ทั้งนี้ปัจจัยลบที่ส่งผลต่อดัชนีเชื่อมั่นฯ ได้แก่ ความกังวลต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เนื่องจากสถานการณ์ตัวเลขผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น, รัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพื่อบริหารจัดการและควบคุมโควิด-19 ประกอบกับการสั่งปิดห้างสรรพสินค้าและสถานที่ต่างๆ ทำให้เกิดการปิดกิจการ ยกเลิกการจ้างงาน มีแรงงานตกงานกว่า1ล้านคน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะทำให้ปีนี้เศรษฐกิจไทยชะลอตัว ติดลบต่อเนื่อง และเข้าสู่ภาวะถดถอยในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจจะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตรและการหารายได้ของประชาชนในภูมิภาคต่างๆ ราคาพืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะข้าวเปลือกเจ้า ยางพารา และมันสำปะหลัง ส่งผลให้รายได้เกษตรกรโดยส่วนใหญ่ยังทรงตัวในระดับต่ำ ทำให้กำลังซื้อทั่วไปในต่างจังหวัดขยายตัวไม่มากนัก
“จากเหตุการณ์ที่ไม่ปกติที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบวงกว้างทำให้ผู้บริโภครายได้ลดลง ไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย โดยรวมความเชื่อมั่นผู้บริโภคไม่ดี กำลังซื้อภาพรวมจะหายไปวันละ 5,000 ล้านบาท จากปกติมีวันละ2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ภาคการท่องเที่ยว จากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติหายไป 40 % เมื่อรวมการท่องเที่ยวของคนไทยจะทำให้รายได้ท่องเที่ยวหายไปรวม 7 แสนล้านบาท “นายธนวรรธน์ กล่าว
สำหรับมาตรการรัฐบาลในการเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้ง่ภาคการเงินและภาคการคลังเป็นเพียงการพยุงสถานการณ์ ประคองเศรษฐกิจเท่านั้น กรณีการแจกเงินคนละ 5,000 บาท ให้กับคน 9 ล้านคน ใช้เงิน 2.7 แสนล้านบาท ยังไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะช่วยเพียงบางส่วน แต่ถ้าต้องการให้ช่วยกระตุ้นได้จริง ต้องขยายเป็น 18 ล้านคน ในช่วง 3 เดือน ขณะที่ผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม 10 ล้านคน ถ้าตกงานก็ควรได้รับการดูแล และมาตรการประคองการจ้างงานให้กับกรณีที่บริษัทต้องหยุดกิจการชั่วคราว