posttoday

"DITP" จัดโครงการจับคู่ธุรกิจผลไม้ หาตลาดรองรับผลผลิตเป็นการล่วงหน้า

29 กุมภาพันธ์ 2563

กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผนึกเอกชน จัดโครงการจับคู่ธุรกิจสินค้าผลไม้สดและผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป หาตลาดรองรับผลผลิตล่วงหน้าทั้งช่องทางออฟไลน์-ออนไลน์ คาดมีมูลค่าซื้อขายแตะ 800 ล้านบาท

นายสมเด็จ สุสุมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) เปิดเผยว่า กรมฯ ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐทั้งภายในและภายนอกกระทรวง ได้แก่ กรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมส่งเสริมการเกษตร และหน่วยงานภาคเอกชน อาทิ สมาคมผู้ค้าและส่งออกผลไม้ไทย สมาคมผู้ประกอบการส่งออกทุเรียน มังคุด และสมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป จัดโครงการจับคู่ธุรกิจสินค้าผลไม้สดและผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป ระหว่างวันที่ 4-5 มีนาคม 2563 เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้กับผลไม้ของไทยในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก

นอกจากนี้ ยังเพื่อให้ผู้ส่งออกได้มีโอกาสในการขยายตลาดส่งออกใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมทั้งยังทำให้ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ได้รับรู้ถึงภาพลักษณ์และศักยภาพของไทยในฐานะเป็นผู้ผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพดี และได้มาตรฐานส่งออก และมีความก้าวหน้าในด้านพัฒนาผลิตภัณฑ์เกษตรแปรรุปต่างๆ

โดยในวันที่ 4 มีนาคม 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้เกียรติมาเป็นประธานเปิดงานการจัดกิจกรรมจับคู่เจรจาการค้า ระหว่างผู้ซื้อ ผู้นำเข้า ตัวแทนจำหน่าย ประมาณ 50 บริษัท จากอินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อาเซียน ตะวันออกกลาง สหภาพยุโรป อเมริกา และแอฟริกา กับผู้ประกอบการไทยในกลุ่มสินค้าผลไม้สด ผลไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์เกษตรอื่นๆ กว่า 80 บริษัท ทั้งออฟไลน์และออนไลน์

โดยในส่วนของออนไลน์ มีแพลตฟอร์มเข้าร่วมมากถึง 12 แพลตฟอร์ม ซึ่งแต่ละแพลตฟอร์มจะมีความเชี่ยวชาญในและตบาดที่แตกต่างกัน ได้แก่ Bigbasket.com (อินเดีย) Tmall (จีน) Jatujakmall (ไทย) CloudCommerce (สหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย) KlangThai (CLMV) blibli.com (อินโดนีเซีย) JD.com (จีน) Ourshop (AirAsia) (ไทย) The Hub Thailand (ไทย/CLMV) Thailand Post Mart (ไทย) Thaimart (ตะวันออกกลาง) และ Amazon (สิงคโปร์) โดยกรมฯ ได้ตั้งเป้ามูลค่าการเจรจาซื้อขายที่จะเกิดจากการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ไว้ประมาณ 800 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังจะจัดให้มีการลงนามความตกลงทางการค้า ระหว่างผู้ส่งออกไทยกับคู่ค้าจากต่างประเทศ ได้แก่ ฮ่องกง และสิงคโปร์ จำนวน 2 ฉบับ รวมมูลค่า 36.5 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสิงคโปร์ เป็นผลไม้อบแห้ง และฮ่องกง เป็นผลไม้และผักสด เช่น ทุเรียน ส้มโอ มะม่วง ลำไย สละ มะนาว หน่อไม้ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน พริก เป็นต้น และยังจะจัดให้มีนิทรรศการสินค้าผลไม้ไทย เพื่อแสดงศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นผู้ผลิตสินค้าผลไม้ที่มีคุณภาพเป็นที่ยอมรับและได้มาตรฐานส่งออกด้วย

ส่วนวันที่ 5 มีนาคม 2563 จะเป็นการจัดกิจกรรมเยี่ยมชมสวนผลไม้และสถานประกอบการผลิตภัณฑ์ผลไม้แปรรูป ณ จังหวัดชลบุรี และจันทบุรี เพื่อให้ผู้ซื้อ ผู้นำเข้า และผู้จัดจำหน่าย ได้เห็นสถานที่ปลูก สถานที่ผลิต เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเป็นผู้ผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐานระดับสากล