posttoday

ติวเข้มผู้ประกอบการ ก่อนใช้มาตรฐานบังคับเหล็กก่อสร้าง-เหล็กรถยนต์ สกัดสินค้าเถื่อนเข้าไทย

27 กุมภาพันธ์ 2563

สมอ.ซักซ้อมผู้ประกอบการเหล็กกว่า 200 ราย ก่อนประกาศมอก.50-2561 ควบคุมมาตรฐานการผลิตเหล็ก กล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสี หลังประกาศเป็นสินค้าควบคุม เริ่มมีผลไม่เกินเดือนส.ค.นี้

นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม เปิดเผยว่าสมอ.ได้เชิญผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กกว่า 200 ราย อาทิ บริษัท สหวิริยาพาณิชย์  คอร์ปอเรชั่น จำกัด  บริษัท สังกะสีไทย จำกัด  และบริษัท ศูนย์บริการเหล็กสยาม จำกัด (มหาชน) ฯลฯ เข้าหารือทำความเข้าใจ และเตรียมความพร้อมในการยื่นขอมอก. 50-2561 เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็นเคลือบสังกะสี  โดยกรรมวิธีจุ่มร้อน แผ่นม้วน แผ่นแถบ แผ่นตัด และแผ่นลูกฟูก หลังประกาศเป็นสินค้าควบคุมและจะมีผลประมาณเดือนสิงหาคมนี้

ปัจจุบันมีการนำสินค้าเหล็กมาผลิตเป็นชิ้นส่วนของสินค้าต่างๆเป็นจำนวนมากโดยส่วนใหญ่อยู่ในอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น หากเหล็กดังกล่าวไม่ได้มาตรฐาน อาจส่งผลต่อคุณภาพของสินค้าต่อเนื่อง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยของผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ใช้งานปลายทาง

ทางสมอ.จึงได้ดำเนินการกำหนดให้ผลิตภัณฑ์เหล็กดังกล่าวเป็นสินค้าควบคุมโดยการประกาศเป็นมาตรฐานบังคับเพื่อส่งเสริมภาคอุตสาหกรรมของประเทศ และคุ้มครองผู้บริโภคให้มีความปลอดภัยจากการใช้สินค้าโดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ภายในไม่เกินเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งผู้ประกอบการทุกรายทั้งผู้ทำและนำเข้าเหล็กดังกล่าวสามารถยื่นขอมาตรฐานมอก.50-2561 โดย สมอ. จะเริ่มดำเนินการตรวจประเมินโรงงานตามมาตรฐานที่จะประกาศใหม่นี้ตามคำขอ เพื่อให้การออกใบอนุญาตสามารถดำเนินการได้ต่อเนื่อง ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากที่กฎหมายมีผลบังคับใช้

นอกจากนี้ตามมมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่4ก.พ. 2563 คณะรัฐมนตรี ยังมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงของกระทรวงอุตสาหกรรม จำนวน 4 ฉบับ ซึ่งจะมีผลให้ผลิตภัณฑ์เหล็กอีก 4 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานทั่วไปและงานดึงรูปเข็มพืดเหล็กกล้ารีดร้อน เหล็กกล้าทรงแบนรีดเย็น สำหรับงานรถยนต์และเหล็กกล้าทรงแบนรีดร้อน สำหรับงานโครงสร้างรถยนต์ ต้องเป็นสินค้าควบคุมอีกด้วย โดยขั้นตอนต่อไปสมอ.จะเสนอร่างกฎกระทรวงดังกล่าวต่อสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป