posttoday

รัฐบาลเดินหน้าสร้างสมดุลปาล์มน้ำมันครบวงจร จ่อขึ้นทะเบียนเกษตรกรคุมพื้นที่ปลูก

29 มกราคม 2563

'ประวิตร' นำทีมพลังงานลงพื้นที่ จ.กระบี่ ขับเคลื่อนนโยบาย B10ครบวงจรคุมลักลอบ-เตรียมขึ้นทะเบียนเกษตรกรผลักดัน ‘ปาล์มคุณภาพ’อย่างยั่งยืน

'ประวิตร' นำทีมพลังงานลงพื้นที่ จ.กระบี่ ขับเคลื่อนนโยบาย B10ครบวงจรคุมลักลอบ-เตรียมขึ้นทะเบียนเกษตรกรผลักดัน ‘ปาล์มคุณภาพ’อย่างยั่งยืน

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เปิดเผยภายหลังร่วมคณะกับนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ลงพื้นที่จังหวัดกระบี่ มอบนโยบายพลังงานชุมชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ว่า นโยบายส่งเสริมการใช้ B10 จะสร้างรายได้ชาวสวนปาล์มไม่ต่ำกว่า 5,000-6,000 ล้านบาท/เดือน หลังราคาปาล์มสูงกว่า 7 บาท/กิโลกรัม(กก.) โดยกระทรวงพลังงานมีนโยบาย “Energy For All” พลังงานที่ทุกคนเข้าถึงได้ประชาชนต้องได้ประโยชน์จากนโยบายพลังงาน โดยใช้กลไกด้านพลังงานไปขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากเพื่อแก้ไขปัญหาราคาผลผลิตทางการเกษตร สนับสนุนให้เกิดการใช้น้ำมันบนดินที่มาจากผลผลิตทางการเกษตรที่มีอยู่ในประเทศไทย ผ่านนโยบาย B10 ส่งเสริมการใช้ไบโอดีเซล และนโยบาย E20 ส่งเสริมการใช้เอทานอล

ทั้งนี้จากการส่งเสริมการใช้ B10 ผลักดันให้เกิดการใช้เป็นน้ำมันดีเซลฐาน และจะจำหน่ายได้ทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2563 เป็นต้นไปนั้น ช่วยสร้างเสถียรภาพราคาปาล์มน้ำมันให้เกิดขึ้นจนราคาสูงเป็นประวัติการณ์จากราคาเริ่มต้นนโยบาย 3 บาท/กก. เป็นมากกว่า 7 บาท/กก.ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ราคาสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านนำมาซึ่งอาจมีปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มดิบ (CPO)

ทางกระทรวงพลังงานได้วางมาตรการป้องกันโดยนำเทคโนโลยีมาใช้ตรวจวิเคราะห์เพื่อบ่งชี้แหล่งที่มาของ CPO เพราะแต่ละประเทศมีโครงสร้างทางเคมีที่ไม่เหมือนกัน เช่น พื้นดิน แร่ธาตุต่างๆ ซึ่งสามารถใช้เป็นข้อมูลดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้ลักลอบนำเข้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งจะเร่งติดมิเตอร์ตรวจวัดปริมาณไบโอดีเซลทุกถังเก็บในคลังผู้ผลิตเพื่อติดตามแบบเรียลไทม์ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ไตรมาส 2 ของปีนี้

?นอกจากนี้ กระทรวงพลังงานได้วางมาตรการรักษาสมดุลปาล์มน้ำมันทั้งการร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์บริหารจัดการผลผลิตปาล์มน้ำมันเพื่อใช้ผลิตไบโอดีเซลไม่ให้กระทบการใช้เพื่อบริโภคในประเทศ รวมถึงเสนอแนวคิดขึ้นทะเบียนเกษตรกร เพื่อควบคุมพื้นที่ปลูก ผลผลิตต่อไร่ให้มีคุณภาพ ซึ่งการรับซื้อปาล์มต่อไปจะรับซื้อจากเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนก่อน ส่วนที่ยังไม่ขึ้นทะเบียนจะพิจารณาลำดับถัดไป ทั้งนี้เกษตรกรต้องยกระดับการปลูกปาล์มให้มีคุณภาพ พัฒนาสายพันธุ์ที่สามารถเพิ่มผลผลิตต่อไร่ เป็นการลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้มากขึ้น ช่วยให้ราคามีเสถียรภาพ และอาจประกาศรับซื้อปาล์มล่วงหน้า 3 เดือน ซึ่งอยู่ระหว่างหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“วันนี้เราสร้างสมดุลปาล์มโดยช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตชาวสวนปาล์มดีขึ้นเป็นขั้นแรก และขั้นต่อไปคือการป้องกันลักลอบนำเข้า CPO ด้วยการใช้เทคโนโลยีมาช่วยตรวจจับ และหลังจากนั้นก็จะมีมาตรการต่อเนื่องอีกเพื่อแก้ไขได้ครบทั้งวงจร เกิดเสถียรภาพราคาแบบยั่งยืน ซึ่งถือเป็นการดำเนินการตามนโยบายที่มากกว่าแค่เรื่อง B10 เพราะได้แก้ไขปัญหาทั้งระบบของพืชพลังงานปาล์มน้ำมัน สร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เกษตรกรชาวสวนปาล์ม มีรายได้ และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน”นายสนธิรัตน์ กล่าว

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและคณะยังได้เข้าร่วมประชุมรับฟังและเยี่ยมชมกิจการโรงสกัดน้ำมันปาล์มของบริษัท ป.พานิชรุ่งเรืองปาล์มออยล์ 2 จำกัด ที่จ.กระบี่ ซึ่งบริษัทฯ มีกำลังการผลิต 75/90 ตัน FFB (ทะลายปาล์มสด) ต่อชั่วโมง โดยบริษัทฯ มีแนวทางการพัฒนาพลังงานทดแทนผลิตชีวมวลที่เกิดจากการสกัดน้ำมันปาล์มมาเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า จากหม้อไอน้ำ ทำให้ปัจจุบันสามารถผลิตไฟฟ้าในโรงงานได้เอง 100% และยังมีการนำน้ำเสียจากกระบวนการสกัดน้ำมันปาล์มเข้าสู่ระบบไบโอแก๊สเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งปัจจุบันบริษัทยังไม่ได้ขายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ