posttoday

"ฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน" สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 2,600 ล้าน

16 มกราคม 2562

ปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเป็นเม็ดเงิน 2,600 ล้าน จากค่าเสียโอกาสในประเด็นสุขภาพและท่องเที่ยว

ปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเป็นเม็ดเงิน 2,600 ล้าน จากค่าเสียโอกาสในประเด็นสุขภาพและท่องเที่ยว

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานว่า สถานการณ์ฝุ่นละอองในระดับที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตของผู้คนไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่เป็นปัญหาที่ในบางพื้นที่ เช่น ภาคเหนือ ประสบอยู่เป็นประจำในช่วงฤดูหนาว/แล้ง สำหรับในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัญหานี้ก็เคยเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2560 ถึงต้นปี 2561 จากนั้นสถานการณ์ก็คลี่คลายไป

จนกระทั่งช่วงปลายปี 2561 ถึงปัจจุบัน ปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานได้กลับมารุนแรงและเกิดเป็นระยะเวลาที่นานและถี่ขึ้น เมื่อประกอบกับกระแสโลกร้อนหรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก (Climate Change) ทำให้เรื่องนี้เป็นประเด็นที่มีความสำคัญที่ต้องติดตามและควรที่จะมีการประเมินผลกระทบในมิติต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ยาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงพยายามประเมินบนสมมติฐานหลายประการเพื่อให้เห็นถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจในเบื้องต้นก่อน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในกรุงเทพฯ และปริมณฑล สร้างความเสียหายอย่างน้อย 2,600 ล้านบาท อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ

1.ค่าเสียโอกาสจากประเด็นสุขภาพ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการที่สถานการณ์ฝุ่นละอองไปกระตุ้นให้เกิดอาการเจ็บป่วยสำหรับผู้ป่วยโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจ จนต้องไปพบแพทย์หรือเข้ารับการรักษาพยาบาล รวมไปถึงเม็ดเงินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้บริโภคต้องซื้อหน้ากากอนามัยมาสวมใส่เพื่อดูแลป้องกันสุขภาพ ทั้งนี้แม้ค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะถูกส่งผ่านไปยังภาคธุรกิจ แต่ก็ถือเป็นค่าเสียโอกาสที่เกิดขึ้น เพราะผู้บริโภคไม่สามารถนำเงินนี้ไปใช้จ่ายเพื่อการอื่น

อนึ่ง จากข้อมูลสถิติพบว่าจำนวนผู้ป่วยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่เป็นโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจ มีไม่ต่ำกว่า 2.4 ล้านคน เทียบกับจำนวนประชากรในกรุงเทพฯ และปริมณฑลทั้งหมด 11 ล้านคน ขณะที่จำนวนผู้ที่เจ็บป่วยจากปัญหาฝุ่นละอองนี้ อาจจะยังไม่สามารถประเมินได้อย่างแน่ชัด ณ ขณะนี้

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงประเมินโดยใช้สมมติฐานว่า ประมาณ 50% ของจำนวนผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาจมีอาการเจ็บป่วยจนจำเป็นต้องเดินทางไปพบแพทย์ในช่วงนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง และมีค่ารักษาพยาบาล รวมถึงค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปพบแพทย์ และค่าเสียโอกาสในการประกอบอาชีพการงานเฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ 1,000 บาท

ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับหน้ากากอนามัยนั้น เฉลี่ยขั้นต่ำที่ 22.5 บาท/วัน ในกรอบเวลา 7-30 วัน คำนวณจาก 40% ของจำนวนประชากรในกรุงเทพฯ และ 10% ของจำนวนประชากรในปริมณฑล

ส่งผลให้ค่าเสียโอกาสจากประเด็นด้านสุขภาพทั้งการรักษาและการป้องกันในเบื้องต้น คิดเป็นเม็ดเงินราว 1,600-3,100 ล้านบาท

"ฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน" สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 2,600 ล้าน

2.ค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่สถานการณ์ฝุ่นละอองทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวจากเดิมที่มีแผนจะเดินทางมายังกรุงเทพฯ ไปยังแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นของไทย โดยในกรณีนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวในภาพรวมของประเทศ

แต่หากสถานการณ์ยังไม่คลี่คลายในเวลาอันรวดเร็ว อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่สามารถปรับแผนการเดินทางได้ เปลี่ยนเส้นทางไปท่องเที่ยวในประเทศอื่นแทน ในกรณีหลังนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งล่าสุดสื่อต่างประเทศก็เริ่มมีการกล่าวถึงปัญหาฝุ่นละอองในไทย หลังจากที่กรุงเทพฯ ติดอันดับ 1 ใน 10 ของเมืองที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานโลก

ทั้งนี้ กรุงเทพฯ นับเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของไทย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านคน/เดือน สร้างรายได้ให้แก่ธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องเป็นมูลค่าเฉลี่ยประมาณ 8 หมื่นล้านบาท/เดือน

สำหรับสมมติฐานที่ใช้ในการคำนวณค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยวนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยกำหนดให้ราว 1-2% ของนักท่องเที่ยวมีการหลีกเลี่ยงไม่เดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ ขณะที่กลุ่มที่มีแผนเดินทางมาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ โดยไม่สามารถปรับเปลี่ยนแผนได้ อาจจะปรับกิจกรรมการท่องเที่ยวไปยังสถานที่ที่ไม่ได้รับผลกระทบแทน ส่งผลให้เม็ดเงินค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยวเบื้องต้นอยู่ที่ประมาณ 1,000-3,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.5-4.5% ของรายได้ท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ ในช่วงเวลาที่ประเมิน

"ฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน" สร้างความสูญเสียทางเศรษฐกิจ 2,600 ล้าน

โดยสรุปแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่าผลทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่นละอองในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จากค่าเสียโอกาสในประเด็นสุขภาพและด้านการท่องเที่ยว ในเบื้องต้นอาจคิดเป็นเม็ดเงินอย่างน้อย 2,600 ล้านบาท โดยกรอบเวลาที่ใช้ในการคำนวณคือไม่เกิน 1 เดือน ซึ่งเริ่มเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561

ทั้งนี้ การประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจข้างต้น เป็นการประมาณการในเบื้องต้น ขนาดของผลกระทบทั้งหมดที่แท้จริง คงจะยังต้องขึ้นอยู่กับเงื่อนไขด้านระยะเวลาและความรุนแรงของปัญหา รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาด้วย ซึ่งภาครัฐก็ได้มีการดำเนินการเพื่อบรรเทาและแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติการฝนหลวง การควบคุมและตรวจสอบรถยนต์ที่ปล่อยควันดำ การฉีดพ่นละอองน้ำและล้างถนนเพื่อกำจัดฝุ่นละออง รวมถึงการหารือร่วมกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแนวทางดำเนินการต่อไป

อย่างไรก็ดี ในระยะยาวแล้วควรมีการศึกษาเพื่อให้เข้าใจลักษณะของปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานว่าเกิดจากปัจจัยใดในน้ำหนักเท่าไร เช่น รถยนต์ โรงไฟฟ้า โรงงานอุตสาหกรรม ก่อสร้าง ผังเมือง หรือสภาพภูมิอากาศที่ปิด เป็นต้น เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นเพื่อให้สามารถวางแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงประเด็น

และหากพิจารณาบทเรียนจากต่างประเทศที่ก็ประสบกับปัญหาฝุ่นละอองเกินมาตรฐานหรือมลพิษทางอากาศเช่นกันแล้ว พบว่าทางการของประเทศที่พัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ล้วนให้ความสำคัญกับปัญหานี้ โดยมีการวางแผนปฏิบัติการระยะยาว (Action Plan) พร้อมกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนไว้ เช่น ประเทศจีนมี Action Plan เพื่อลดปัญหามลพิษทางอากาศในเมืองต่างๆ ซึ่งอาศัยหลายมาตรการพร้อมๆ กัน อีกทั้งมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี ทั้งการปิดโรงงานไฟฟ้าพลังงานถ่านหิน การห้ามเผาถ่านหินเพื่อสร้างความอบอุ่นในช่วงฤดูหนาว การปลูกต้นไม้ การย้ายโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงการส่งเสริมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เป็นต้น

สำหรับหลายประเทศในยุโรปมีแนวทางการแก้ปัญหาระยะสั้น เช่น การขอความร่วมมือประชาชนให้ลดการใช้รถส่วนตัวและหันมาใช้รถสาธารณะแทน รวมถึงลดการใช้รถส่วนตัวในช่วงวันหยุด นอกจากนี้ยังได้มีการขอความร่วมมือกับโรงงานอุตสาหกรรมให้ลดการใช้พลังงาน/การปล่อยก๊าซ ขณะที่แผนในการแก้ปัญหาระยะยาวก็มีการใช้หลายแนวทาง อาทิ การส่งเสริมรถยนต์พลังงานไฟฟ้า การรณรงค์ให้มีการใช้จักรยานด้วยการสร้างเส้นทางการขับขี่ที่ปลอดภัย การใช้รถโดยสารสาธารณะ การจำกัดปริมาณรถยนต์ที่วิ่งในเขตเมือง ฯลฯ

สำหรับประเด็นเรื่องคุณภาพอากาศและเรื่องสิ่งแวดล้อม นับว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ โดยการประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจข้างต้นเป็นเพียงการชี้ให้เห็นถึงเม็ดเงินผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนหนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ยังประเมินออกมาเป็นมูลค่าผลกระทบอย่างชัดเจนได้ยาก ยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนในระยะยาว/ความเสี่ยงของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดจนผลต่อภาพรวมของประเทศภายใต้ยุทธศาสตร์ที่ทางการมุ่งหวังจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจทั้งการท่องเที่ยว การแพทย์ และอื่นๆ ในเวทีโลก ซึ่งหากปรับปรุงแก้ไขปัญหานี้ได้

นอกจากประเด็นสุขภาพของประชาชนแล้ว จะเป็นผลบวกต่อสถานะของไทยในการส่งเสริมการเป็นฮับด้านต่างๆ ดังกล่าวด้วย ดังนั้นการจัดการกับปัญหาฝุ่นละอองสำหรับประเทศไทยให้ได้อย่างยั่งยืน คงจะเป็นโจทย์ท้าทายที่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทั้งการศึกษาหาสาเหตุและการวางแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและระยะยาวต่อไป