มาตรการรับมือฝุ่นพิษไม่มีอะไรใหม่...ต้องรู้ต้นตอก่อนแก้ปัญหา
โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย
โดย ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภานายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย
ควันจากฝุ่นละอองเป็นปัญหาของประเทศมาอย่างน้อย 3 ปีที่คนไทยวันนี้แม้แต่เด็กล้วนรู้จักฝุ่นละออง PM 2.5 เนื่องจากต้องทนอยู่กับสภาวะควันพิษที่ฟุ้งกระจายตั้งแต่ในเมืองไปจนถึงพื้นที่ชนบทแม้แต่บนยอดดอยก็ยังมีหมอกพิษผสมกับหมอกจริง สังเกตุได้ว่าช่วงรอยต่อปลายปีกับต้นปีปัญหาหมอกควันจะหวนกลับมาแต่เพิ่มดีกรีจากแค่เผาหญ้าข้างบ้านหรือไปต่างจังหวัดมีการเผาวัชพืชข้างถนนจนรถติดยาวเป็นขบวน ในช่วงหลังทวีความรุนแรงกลายเป็นควันพิษ
องค์กรอนามัยโลกหรือ “WHO” กำหนดมาตรฐานค่าเฉลี่ยของฝุ่นละอองในอากาศต่อปีไม่เกิน 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) และต่อวันอยู่ที่ระดับไม่เกิน 25 ไมโครกรัม/ ลบ.ม. เป็นฝุ่นขนาดเล็กมากๆ เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น เผาหญ้า, ไฟป่า, ควันจากไอเสียรถยนต์, ควันจากอุตสาหกรรม ฝุ่นพวกนี้ลอยขึ้นไปอยู่ในชั้นบรรยากาศได้เป็นเดือนสามารถเคลื่อนไปตามกระแสลมได้เกือบพันกิโลเมตร ฝุ่นที่เป็นพิษถึงขั้นเป็นอันตรายมีผลกระทบต่อร่างกายต้องเกิน 50 ไมโครกรัม /ลบ.ม. ในกทม.ช่วงต้นมกราคมค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 83 – 85 ไมโครกรัมทำให้ถูกยกระดับติดอยู่ในแชมป์อันดับ 8 ของโลกตัวเลขพวกนี้ขึ้นลงตามช่วงที่มีฝุ่นมากหรือน้อยบางครั้งก็ติดอันดับ 4 ของโลก จากการจัดอันดับ 10 ประเทศที่มีค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองต่อปีที่อยู่ในเกณฑ์สูงกว่ามาตรฐาน ณ วันที่ 13 มกราคม 2563 จัดทำโดย “World AQI Ranking” ได้ดังนี้
ลำดับ | เมือง | ประเทศ |
ค่าเฉลี่ย (ไมโครกรัม/ลบ.ม.) |
1. | เดลลี่ | อินเดีย |
142.0 |
2. | ลานบาตาร์ | มองโกเลีย |
123.6 |
3. | ดั๊กก้า | บังคลาเทศ |
108.5 |
4. | กาฐมาณฑุ | เนปาล |
93.9 |
5. | เซี่ยงไฮ้ | จีน |
88.7 |
6. | หางโจ้ว | จีน |
88.0 |
7. | ซาลาเจโว | บอสเนีย |
83.1 |
8. | กทม. | ไทย |
83.0 |
9. | เชียงใหม่ | ไทย |
82.1 |
10. | ฮานอย | เวียดนาม |
80.1 |
รัฐบาลมีการแก้ปัญหาอย่างจริงจังมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ล่าสุดมีมติครม.ออกแนวทางแก้ปัญหา 12 มาตรา แต่วิธีการยังวนอยู่กับที่เท่าที่ดูไม่มีอะไรใหม่โดยให้น้ำหนักต้นเหตุจากปัญหาเจรจร หรือ“Traffic Index”ได้แก่ ห้ามรถบรรทุกเข้าพื้นที่ชั้นใน, ตรวจควันดำ, รถบรรทุกห้ามวิ่งวันคี่, เหลื่อมเวลาทำงานไปจนถึงปิดโรงเรียนชั่วคราว มาตรการอื่นๆ เช่น ตรวจโรงงานไม่ให้ปล่อยควันเสีย, ไม่ให้เผาในที่โล่งแจ้ง, โครงการฝนหลวง, จัดหาเครื่องฟอกอากาศหรือมาตรการให้เอาน้ำฉีดใบไม้หรือล้างถนน การประชุมพฤหัสบดีที่ผ่านมาบิ๊กป้อมนักเป็นหัวโต๊ะยกเป็นแผนระดับชาติ (รอบ 2) มีการตั้งวอร์รูมมาตรการเหล่านี้ก็คงทำไปดีกว่าไม่ได้ทำอะไร
ความเห็นส่วนตัวในฐานะชาวบ้านซึ่งไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านมลพิษทางอากาศ การแก้ปัญหาต้องรู้ต้นเหตุและต้นตอว่าควันพิษเหล่านี้มาจากไหน จากตารางประเทศติดแชมป์ข้างต้นพบว่า 1 ใน 2 เป็นประเทศที่แทบไม่มีการจราจรหนาแน่นและอุตสาหกรรมมีไม่มาก เช่น มองโกเลีย บังคลาเทศ บอสเนีย แม้แต่สปป.ลาวเป็นประเทศที่เป็นปอดของอาเซียนยังติดค่า PM 2.5 สูง ทำให้เป็นคำถามว่าไปโทษรถบรรทุกปล่อยควันดำเป็นสาเหตุหลักจะเป็นการแก้ปัญหาตรงจุดหรือไม่ แม้แต่หลายจังหวัดของไทยโดยเฉพาะภาคเหนือตอนบนซึ่งค่าเฉลี่ยสูงสุดเกินมาตรฐานถึง 2 เท่ายังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมค่าควันพิษจึงสูง อีกทั้งหลายจังหวัดซึ่งไม่น่าจะเป็นปัญหาจากปัจจัยจราจรหรืออุตสาหกรรม เช่น จันทบุรีบางช่วงค่า PM 2.5 สูงกว่ามาตรฐานถึง 1.7 เท่า ขณะที่จังหวัดตราด, เชียงราย ตาก, แพร่, น่าน แม้แต่บนดอย เช่น อำเภออุ้มผาง มีแต่ป่าและเขาแต่ ค่าควันพิษก็ยังสูงเกินมาตรฐาน
จากงานวิจัยของนายแพทย์ท่านหนึ่งของคณะแพทย์ศาสตร์ ม.เชียงใหม่ได้วิจัยต้นเหตุของฝุ่นพิษPM 2.5 พบว่าปัจจัยหลักมาจากการเผามวลชีวภาพทางเกษตรไม่ใช่แค่เผาวัชพืชให้น้ำหนักสูงถึงร้อยละ 40 เป็นการเผาเพื่อเตรียมพื้นดินทั้งเผาฟางข้าว หญ้า โดยเฉพาะตออ้อยเป็นปัญหาค่อนข้างมากเนื่องจากมีการเพิ่มพื้นที่ในการปลูกอย่างรวดเร็ว การขุดต้องใช้เครื่องจักรหรือแรงคนซึ่งมีคนใช้จ่ายสูงและช้ากว่าการเผาขณะที่โรงงานน้ำตาลมีเอาเศษซากที่เหลือไปเผาทำเป็นเชื้อเพลิงยิ่งซ้ำเติมฝุ่นละอองให้มากขึ้น อีกทั้งภาคเหนือฝุ่นควันส่วนใหญ่ลอยข้ามพรมแดนจากประเทศเมียนมาโดยเฉพาะช่วงเดือนธันวาคมข้ามปีไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ฝุ่นหมอกเหล่านี้ได้รับกระแสลมลอยลงมาถึงกทม.
ปัจจัยที่สองมาจากความหนาแน่นของการเจรจรและควันดำของยานพาหนะโดยเฉพาะรถที่ใช้เครื่องดีเซลให้น้ำหนักร้อยละ 20 -25 ปัจจัยที่สามมาจากการก่อสร้างอาคาร ถนนหรือรถไฟฟ้าใต้ดินซึ่งพื้นที่ในเมืองอากาศไม่ค่อยหมุนเวียนทำให้ผุ่นละอองสะสม ขณะที่การปล่อยควันจากภาคอุตสาหกรรมมีไม่ค่อยมากเพราะโรงงานพวกนี้ย้ายไปพื้นที่ชั้นนอกมานานแล้ว ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาขององค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA) โดยใช้ข้อมูลดาวเทียมของนาซ่าร่วมกับเอไอและบิ๊กดาต้าระบุว่าปัญหาหลักของฝุ่น PM 2.5 ที่สูงเกินมาตรฐานในพื้นที่กทม. ต้นเหตุสำคัญมาจากฝุ่นการเผามวลชีวภาพทางเกษตรกรรมซึ่งของไทยยกระดับไปเป็นเกษตรเชิงอุตสาหกรรมมีการขยายพื้นที่เพื่อเพิ่มปริมาณส่งออกทดแทนราคาที่ตกต่ำโดยเฉพาะอ้อยและข้าว
มาตรการแก้ปัญหาของรัฐบาลควรศึกษาต้นตอของปัญหาให้ชัดเจนโดยนำประเทศและจังหวัดซึ่งไม่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดฝุ่นควันแต่ทำไมยังมีค่า PM 2.5 สูงกว่ามาตรฐาน ปัญหาหลักคือการเผามวลชีวภาพเพื่อการเกษตรกรรมจะแก้อย่างไร เพราะเกษตรกรยังต้องใช้วิธีการเผาพื้นที่เพื่อเตรียมดิน กำจัดวัชพืช ไข่ของแมลงที่เป็นศัตรูพืชรวมถึงปุ๋ยที่ได้จากการเผา ขณะเดียวกันฝุ่นเหล่านี้ส่วนหนึ่งลอยมาจากประเทศเพื่อนบ้านขวาก็ประเทศเมียนมาซ้ายเป็นสปป.ลาวแถมยังมีกัมพูชาเข้ามาผสมโรงซึ่งล้วนเป็นประเทศเกษตรยุคดั่งเดิม มาตรการที่ออกมาใหม่เพื่อสู้กับฝุ่นพิษคงต้องเดินหน้าแต่ปัญหายังคงอยู่ต่อไป....เรื่องนี้ผมรู้น้อยแต่ขอแจมด้วยคนนะครับ
(สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat)