posttoday

สันติภาพสั่นคลอน ไทย–กัมพูชา ปฏิญญาถูกแขวน สหรัฐ–อาเซียนกดดัน

11 ธันวาคม 2568

การสู้รบระลอกใหม่ไทย กัมพูชาทำปฏิญญาสันติภาพที่เคยร่วมลงนามกับสหรัฐและอาเซียนไร้น้ำหนัก กษิต วิจารณ์ความคลุมเครือเชิงนโยบายของไทย ท่ามกลางแรงกดดันรุกคืบทุกด้าน

KEY

POINTS

  • การปะทะหนักของกัมพูชาด้วย BM21 จุดไฟความขัดแย้งรอบใหม่
  • ไทยประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพฝ่ายเดียว สร้างแรงสะเทือนทางการทูต
  • แรงกดดันสหรัฐ–อาเซียนบีบไทยต้องนิยาม “เป้าหมายสงคราม” ให้ชัด

ปะทะเดือดหลังปฏิญญาถูกแขวน โลกจับตาไฟชายแดนปะทุ

ยามเสียงจรวด BM21 กว่า 5,000 นัดพุ่งจากฝั่งกัมพูชาเข้าสู่แนวไทย การปะทะระลอกใหม่ก็ถูกจุดขึ้นอย่างเป็นทางการ ความรุนแรงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเหนือคาดหมาย แต่เป็นสัญญาณว่าความขัดแย้งที่เคยถูกกดทับด้วยปฏิญญาสันติภาพที่กัวลาลัมเปอร์กำลังเสื่อมแรง จนสหรัฐอเมริกาต้องออกมาเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงทันที เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ไหลบานเป็นวิกฤตภูมิภาค

เบื้องหลังการเรียกร้องดังกล่าวซ่อนแรงกดดันทางการทูตที่สหรัฐเคยใช้เมื่อหลายเดือนก่อน โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเตือนว่า หากไทยและกัมพูชายังไม่ยุติการสู้รบ เขาอาจขึ้นภาษีศุลกากรจากราว 19% เป็นเกือบ 40% ข้อกดดันเชิงเศรษฐกิจนี้ทำให้ผู้นำทั้งสองประเทศต้องเข้าร่วมเจรจาภายใต้การประสานของนายกฯ อันวาร์ อิบรอฮิม ประธานอาเซียนในขณะนั้น

ปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) ที่มีมาเลเซียและสหรัฐร่วมเป็นสักขีพยานจึงมีสถานะไม่ต่างจากคำรับรองต่อประชาคมโลก แต่เมื่อเกิดปะทะหนักอีกครั้ง ก็สะท้อนชัดว่าเอกสารฉบับนั้นถูกแขวนไว้กลางอากาศ และกำลังกลายเป็นเงื่อนไขความชอบธรรมในการแทรกแซงเชิงการทูตของมหาอำนาจและเพื่อนบ้านในอาเซียน

ไทยระงับปฏิญญาฝ่ายเดียว วิจารณ์หนักพลาดทางการทูต

ข้อเท็จจริงที่สร้างแรงสะเทือนที่สุดคือ การที่รัฐบาลไทยประกาศ “ระงับการบังคับใช้ปฏิญญาร่วม” เพียงฝ่ายเดียว หลังเกิดเหตุทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ จึงออกมาเตือนทันทีว่านี่เป็น “ความผิดพลาดใหญ่หลวง” เพราะไทยควรแจ้งต่อผู้นำมาเลเซียและสหรัฐผู้เป็นสักขีพยาน มิใช่ยุติข้อตกลงโดยไม่สื่อสารกับคู่ภาคี

ความผิดพลาดด้านมารยาททางการทูตเช่นนี้ยังถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณย้อนศรต่อความพยายามของอาเซียนในการเป็นตัวกลางระงับเหตุ นอกจากนี้ การที่ไทยไม่แจ้งไปยังกัมพูชาก่อนยิ่งเปิดช่องให้เกิดการปฏิบัติการตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม เพราะถือได้ว่ากรอบความร่วมมือที่เคยลงนามร่วมกันถูกทำลายลงแล้ว

เมื่อปฏิญญาร่วมหมดความหมายบนเวทีทวิภาคีและพหุภาคี ความเสี่ยงจึงยกระดับขึ้นทันที หลายประเทศหวั่นว่าปัญหาจะลุกลามไปสู่การกดดันจากคณะมนตรีความมั่นคง ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเคยวางตัวเป็นผู้ประกันสันติภาพก็เริ่มพิจารณามาตรการแข็งกร้าวมากขึ้น เพื่อบีบให้ไทยกลับเข้าสู่กลไกเดิมของการเจรจา

นโยบายคลุมเครือของไทย เปิดช่องเพิ่มแรงกดดันนานาชาติ

สิ่งที่นายกษิตตั้งคำถามอย่างรุนแรงคือ “ประเทศไทยกำลังรบไปเพื่ออะไร?” การไม่ประกาศเป้าหมายปลายทางอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการรบเพื่อชนะเด็ดขาด เพื่อสั่งสอน หรือเพียงเพื่อเตือนสติ ถูกมองว่าเป็นภาวะมืดมนเชิงนโยบายที่ทำให้ประชาชนทั้งประเทศต้องเผชิญความไม่แน่นอน ในขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้กองทัพและรัฐบาลดูต่างคนต่างมีท่าที ไม่ใช่ยุทธศาสตร์เดียวกัน

ข้อวิพากษ์ยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อผู้บัญชาการทหารบกออกมาระบุว่าไทยต้อง “ทำลายขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาในระยะยาว” ซึ่งนายกษิตชี้ว่าเป็นการพูดเกินขอบเขต เพราะนโยบายความมั่นคงต้องถูกกำหนดโดยรัฐบาล ไม่ใช่กองทัพ การที่ทั้งสองหน่วยงานสื่อสารอย่างไม่เป็นเอกภาพจึงยิ่งทำให้เวทีโลกตั้งคำถามต่อเส้นทางยุทธศาสตร์ของไทย

ท่ามกลางความคลุมเครือเช่นนี้ สหรัฐอเมริกาอาจเดินหน้ากดดันด้วยมาตรการที่หนักขึ้น ตั้งแต่การเรียกทูตกลับ การระงับซ้อมรบคอบร้าโกลด์ การชะลอเจรจาการค้า ไปจนถึงการพิจารณาขึ้นภาษีอีกครั้ง หากไทยยังไม่ยอมกลับสู่โต๊ะเจรจาในกรอบอาเซียนและปฏิญญาร่วมที่เคยลงนามไว้

เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง 
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)
 

 

ข่าวล่าสุด

สรุปเหรียญซีเกมส์ 2025 ไทยฟอร์มร้อนแรง ผงาดนำเหรียญทองวันแรก