สันติภาพสั่นคลอน ไทย–กัมพูชา ปฏิญญาถูกแขวน สหรัฐ–อาเซียนกดดัน
การสู้รบระลอกใหม่ไทย กัมพูชาทำปฏิญญาสันติภาพที่เคยร่วมลงนามกับสหรัฐและอาเซียนไร้น้ำหนัก กษิต วิจารณ์ความคลุมเครือเชิงนโยบายของไทย ท่ามกลางแรงกดดันรุกคืบทุกด้าน
KEY
POINTS
- การปะทะหนักของกัมพูชาด้วย BM21 จุดไฟความขัดแย้งรอบใหม่
- ไทยประกาศระงับปฏิญญาสันติภาพฝ่ายเดียว สร้างแรงสะเทือนทางการทูต
- แรงกดดันสหรัฐ–อาเซียนบีบไทยต้องนิยาม “เป้าหมายสงคราม” ให้ชัด
ปะทะเดือดหลังปฏิญญาถูกแขวน โลกจับตาไฟชายแดนปะทุ
ยามเสียงจรวด BM21 กว่า 5,000 นัดพุ่งจากฝั่งกัมพูชาเข้าสู่แนวไทย การปะทะระลอกใหม่ก็ถูกจุดขึ้นอย่างเป็นทางการ ความรุนแรงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเหนือคาดหมาย แต่เป็นสัญญาณว่าความขัดแย้งที่เคยถูกกดทับด้วยปฏิญญาสันติภาพที่กัวลาลัมเปอร์กำลังเสื่อมแรง จนสหรัฐอเมริกาต้องออกมาเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายหยุดยิงทันที เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ไหลบานเป็นวิกฤตภูมิภาค
เบื้องหลังการเรียกร้องดังกล่าวซ่อนแรงกดดันทางการทูตที่สหรัฐเคยใช้เมื่อหลายเดือนก่อน โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยเตือนว่า หากไทยและกัมพูชายังไม่ยุติการสู้รบ เขาอาจขึ้นภาษีศุลกากรจากราว 19% เป็นเกือบ 40% ข้อกดดันเชิงเศรษฐกิจนี้ทำให้ผู้นำทั้งสองประเทศต้องเข้าร่วมเจรจาภายใต้การประสานของนายกฯ อันวาร์ อิบรอฮิม ประธานอาเซียนในขณะนั้น
ปฏิญญาร่วม (Joint Declaration) ที่มีมาเลเซียและสหรัฐร่วมเป็นสักขีพยานจึงมีสถานะไม่ต่างจากคำรับรองต่อประชาคมโลก แต่เมื่อเกิดปะทะหนักอีกครั้ง ก็สะท้อนชัดว่าเอกสารฉบับนั้นถูกแขวนไว้กลางอากาศ และกำลังกลายเป็นเงื่อนไขความชอบธรรมในการแทรกแซงเชิงการทูตของมหาอำนาจและเพื่อนบ้านในอาเซียน
ไทยระงับปฏิญญาฝ่ายเดียว วิจารณ์หนักพลาดทางการทูต
ข้อเท็จจริงที่สร้างแรงสะเทือนที่สุดคือ การที่รัฐบาลไทยประกาศ “ระงับการบังคับใช้ปฏิญญาร่วม” เพียงฝ่ายเดียว หลังเกิดเหตุทหารไทยได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิด นายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ จึงออกมาเตือนทันทีว่านี่เป็น “ความผิดพลาดใหญ่หลวง” เพราะไทยควรแจ้งต่อผู้นำมาเลเซียและสหรัฐผู้เป็นสักขีพยาน มิใช่ยุติข้อตกลงโดยไม่สื่อสารกับคู่ภาคี
ความผิดพลาดด้านมารยาททางการทูตเช่นนี้ยังถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณย้อนศรต่อความพยายามของอาเซียนในการเป็นตัวกลางระงับเหตุ นอกจากนี้ การที่ไทยไม่แจ้งไปยังกัมพูชาก่อนยิ่งเปิดช่องให้เกิดการปฏิบัติการตอบโต้ของฝ่ายตรงข้าม เพราะถือได้ว่ากรอบความร่วมมือที่เคยลงนามร่วมกันถูกทำลายลงแล้ว
เมื่อปฏิญญาร่วมหมดความหมายบนเวทีทวิภาคีและพหุภาคี ความเสี่ยงจึงยกระดับขึ้นทันที หลายประเทศหวั่นว่าปัญหาจะลุกลามไปสู่การกดดันจากคณะมนตรีความมั่นคง ขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเคยวางตัวเป็นผู้ประกันสันติภาพก็เริ่มพิจารณามาตรการแข็งกร้าวมากขึ้น เพื่อบีบให้ไทยกลับเข้าสู่กลไกเดิมของการเจรจา
นโยบายคลุมเครือของไทย เปิดช่องเพิ่มแรงกดดันนานาชาติ
สิ่งที่นายกษิตตั้งคำถามอย่างรุนแรงคือ “ประเทศไทยกำลังรบไปเพื่ออะไร?” การไม่ประกาศเป้าหมายปลายทางอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการรบเพื่อชนะเด็ดขาด เพื่อสั่งสอน หรือเพียงเพื่อเตือนสติ ถูกมองว่าเป็นภาวะมืดมนเชิงนโยบายที่ทำให้ประชาชนทั้งประเทศต้องเผชิญความไม่แน่นอน ในขณะเดียวกันก็เปิดช่องให้กองทัพและรัฐบาลดูต่างคนต่างมีท่าที ไม่ใช่ยุทธศาสตร์เดียวกัน
ข้อวิพากษ์ยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อผู้บัญชาการทหารบกออกมาระบุว่าไทยต้อง “ทำลายขีดความสามารถทางทหารของกัมพูชาในระยะยาว” ซึ่งนายกษิตชี้ว่าเป็นการพูดเกินขอบเขต เพราะนโยบายความมั่นคงต้องถูกกำหนดโดยรัฐบาล ไม่ใช่กองทัพ การที่ทั้งสองหน่วยงานสื่อสารอย่างไม่เป็นเอกภาพจึงยิ่งทำให้เวทีโลกตั้งคำถามต่อเส้นทางยุทธศาสตร์ของไทย
ท่ามกลางความคลุมเครือเช่นนี้ สหรัฐอเมริกาอาจเดินหน้ากดดันด้วยมาตรการที่หนักขึ้น ตั้งแต่การเรียกทูตกลับ การระงับซ้อมรบคอบร้าโกลด์ การชะลอเจรจาการค้า ไปจนถึงการพิจารณาขึ้นภาษีอีกครั้ง หากไทยยังไม่ยอมกลับสู่โต๊ะเจรจาในกรอบอาเซียนและปฏิญญาร่วมที่เคยลงนามไว้
เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)


