posttoday

จากบาดแผลทหารไทยเหยียบระเบิด สู่ไฟเขียว “ยุทธการตอบโต้”กัมพูชา

12 พฤศจิกายน 2568

สมช.เปิดทางกองทัพเดินแผนเผชิญเหตุ หลังทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเจ็บสาหัส ปลดล็อกยุทธศาสตร์ตอบโต้ทุกมิติ ตั้งแต่สนามปฏิบัติการถึงสนามทูต

KEY

POINTS

  • ทหารไทยบาดเจ็บสาหัสจากการเหยียบทุ่นระเบิด เป็นชนวนเหตุให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อนุมัติปฏิบัติการทางทหารเพื่อตอบโต้กัมพูชา
  • มติ "ไฟเขียว" ดังกล่าวไม่ใช่การประกาศสงคราม แต่เป็นการปลดล็อกให้กองทัพสามารถใช้ "แผนเผชิญเหตุ" ที่เตรียมไว้แล้วเพื่อรับมือภัยคุกคาม
  • ยุทธศาสตร์หลักคือการยกระดับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในฝั่งไทย เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้กำลังตอบโต้หากปฏิบัติการถูกขัดขวาง

จุดแตกหักหลังทุ่นระเบิด—สู่มติ “ปฏิบัติการทางทหาร”

ความตึงเครียดไทย–กัมพูชาปะทุถึงจุดเปลี่ยน เมื่อกำลังพลไทยบาดเจ็บสาหัสจากการลอบวางทุ่นระเบิด สมช.จึงมีมติ “เปิดไฟเขียว” ให้กองทัพดำเนิน “ปฏิบัติการทางทหาร” เพื่อตอบโต้ โดยรัฐมนตรีกลาโหมยืนยันปฏิบัติตามมติดังกล่าว แม้ไม่เปิดเผยรายละเอียดเชิงยุทธการ ท่าทีนี้เป็นสัญญาณแข็งกร้าวที่สุดในรอบหลายปี ย้ำว่าการละเมิดอธิปไตยจะไม่ถูกปล่อยผ่านอีกต่อไป

ถอดรหัส “ปฏิบัติการทางทหาร”: ปลดล็อกแผน ไม่ใช่เริ่มสงคราม

แก่นของมติไม่ใช่การเขียนยุทธศาสตร์ใหม่ แต่คือการ “ปลดล็อก” ให้กองทัพใช้ “แผนเผชิญเหตุ (Contingency Plan)” ที่เตรียม–ซักซ้อมไว้แล้ว ตั้งแต่ระดับมาตรการทูตถึงการใช้กำลังตอบโต้ อดีตปลัดกลาโหม พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ชี้ว่า ไฟเขียวครั้งนี้คือสิทธิ์ในการเดินตามหลักนิยมความมั่นคงที่ย้ำคำมั่น “จะทำทุกวิถีทางไม่ให้กัมพูชาเป็นภัยคุกคามอีกต่อไป”

แถลงผลประชุมสมช.

ความไว้วางใจพังทลาย: หลักฐานเชิงรูปธรรม–กติกาเดิมสิ้นสภาพ

ปัจจัยผลักดันท่าทีแข็งกร้าวมาจากพฤติกรรมที่ตีความได้ว่า “ยั่วยุเชิงยุทธวิธี” ได้แก่ การวางทุ่นระเบิดใหม่เป็นกลุ่ม (cluster) การรื้อแนวลวดหนามล่อให้ซ่อมแซม และจุดเกิดเหตุที่ล้ำแดนไทยลึกเข้ามา ทำให้ข้อตกลงทางการทูตที่เคยเป็นกรอบจำกัดการปฏิบัติ “เสื่อมสภาพ” ในเชิงยุทธศาสตร์ ประเทศไทยจึงกลับสู่สภาวะมีอิสระในการปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติเต็มรูปแบบ

กลยุทธ์หลัก: “เก็บกู้ทุ่นระเบิด” เป็นกับดักทางยุทธศาสตร์

หัวใจคือการยกระดับภารกิจเก็บกู้ทุ่นระเบิดในฝั่งไทยให้ “เข้มข้น” เพื่อยึดความชอบธรรมเชิงมนุษยธรรม (moral high ground) และสร้างกลไก “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” ให้กัมพูชา ยอมให้ไทยปฏิบัติการก็เสียพื้นที่/เสียหน้า ขัดขวางด้วยกำลังก็กลายเป็นฝ่ายเริ่มรุนแรง ผลคือไทยมี casus belli ที่ชอบธรรมในการตอบโต้อย่างพอเหมาะพอควร
 

นายกฯอนุทิน เดินทางไป อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อ 11พ.ย.68

กดดันรอบด้าน: เชลยศึก–ช่องทางทูต–ข่าวกรอง

สมช.หนุนมาตรการเสริมพลังยุทธการ ทั้งการ “ระงับส่งตัวเชลยศึก” ชาวกัมพูชา 18 นาย ซึ่งมีมูลค่าทางข่าวกรองและต่อรองสูง และการ “ชะลอ” เวทีทวิภาคีอย่าง GBC/RBC เพื่อสร้างสุญญากาศเชิงนโยบาย ตัดเส้นเลือดใหญ่ทางการทูตจนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนพฤติกรรม

ฉันทามติใหม่—เด็ดขาดแต่สมเหตุสมผล

ภาพรวมคือฉันทามติในประเทศที่ต้องการเห็นการตอบโต้อย่าง “เด็ดขาดแต่พอเหมาะ” เดินเกมผสมผสานตั้งแต่สนามปฏิบัติการ (EOD/เก็บกู้) ถึงสนามทูต (กดดัน/ชะลอกรอบหารือ) พร้อมคุมโทนความชอบธรรมในสายตานานาชาติ ระยะสั้น ความขัดแย้งอาจจำกัดพื้นที่ แต่ระยะยาวยังเป็นโจทย์เชิงโครงสร้างที่ต้องเฝ้าจับตา

สัญญาณจากไทยชัดขึ้นกว่าเดิม: ปกป้องอธิปไตย ชีวิตทหาร และผลประโยชน์ชาติ อย่างถึงที่สุด

เรียบเรียง : อมรเดช ชูสุวรรณ บรรณาธิการข่าวการเมือง
ที่มาประกอบเนื้อหา : รายการคมชัดลึก (คลิ๊กชม)
 

ข่าวล่าสุด

MIXUE ไทยบริจาค 1 ล้านบาท เร่งช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้