ภูมิใจไทยทดลองอำนาจรัฐบาล4เดือนเดินเกมเร็วสร้างฐานการเมือง
ภูมิใจไทยใช้โอกาสรัฐบาลเสียงข้างน้อย 4 เดือนเป็นห้องทดลองอำนาจ เดินเกมเร็ว กินรวบ สะสมฐานการเมือง ท่ามกลางวิกฤตคู่แข่งและบทบาทกองทัพ
KEY
POINTS
- พรรคภูมิใจไทยใช้กลยุทธ์ "เกมเร็ว กินรวบ" ในช่วงเวลา 4 เดือนที่เป็นรัฐบาล เพื่อสร้างฐานการเมืองผ่านการดึงกลุ่มการเมืองใหญ่ ผลักดันเมกะโปรเจกต์ และสร้างกระแสชาตินิยม
- มีการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีที่ผสมผสานระหว่างนักการเมือง เทคโนแครต และทหาร เพื่อคุมเสถียรภาพ เร่งสร้างผลงาน และควบคุมกระทรวงสำคัญเพื่อจัดการความเสี่ยงทางการเมือง
- ภูมิใจไทยฉวยโอกาสที่พรรคคู่แข่งสายอนุรักษ์นิยมกำลังประสบปัญหาวิกฤตภายใน เพื่อขยายฐานอำนาจและอาจตัดสินใจยุบสภาก่อนกำหนดเพื่อชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
กลยุทธ์ “เกมเร็ว กินรวบ” – สะสมอำนาจภายใต้เวลา 4 เดือน
การจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ถือเป็นการก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของพรรคภูมิใจไทย แม้จะมีเงื่อนไขเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภาตาม MOA แต่กลับถูกมองว่าเป็น “ช่วงเวลาทอง” ในการปูทางสู่การเลือกตั้งครั้งหน้า
กลยุทธ์หลักคือ “เกมเร็ว กินรวบ” โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 ประการ
ดึงบ้านใหญ่และควบรวมพรรค – ภูมิใจไทยนำโมเดล “ดูด ส.ส.” แบบทักษิณในยุคไทยรักไทยมาใช้ ดึงกลุ่มบ้านใหญ่ภาคใต้และอีสาน เช่น กลุ่มรัชกิจประการ รวมถึงต่อยอดเปิดช่องคุยกับอดีตแกนนำ ปชป. และรวมไทยสร้างชาติ
สร้างกระแสชาตินิยม – ใช้โมเดลบุรีรัมย์เป็นตัวแบบ ผ่านแนวคิดของครูใหญ่ เนวิน ชิดชอบ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ควบคู่การสื่อสารความสำเร็จในเชิง “รักชาติ รักถิ่น” เพื่อดึงคะแนนเสียงจากมวลชนระดับท้องถิ่น
ผลักดันเมกะโปรเจกต์ – แม้เวลาจำกัด แต่รัฐบาลอนุทินประกาศเดินหน้าโครงการใหญ่ เช่น แลนด์บริดจ์ รถไฟทางคู่ และโครงข่ายทางพิเศษภาคใต้ เพื่อสร้างภาพผู้นำที่กล้าตัดสินใจและมุ่งพัฒนา
นอกจากนี้ยังมี แผนเจาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ผ่านการจัดตั้งเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นใหม่ พร้อมดึงพันธมิตรจาก “รัฐพันลึก” เพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอำนาจ หากเงื่อนไขทางการเมืองเอื้อ พรรคอาจเลือก ยุบสภาก่อนครบ 4 เดือน เพื่อกุมความได้เปรียบสูงสุด
ครม.อนุทิน1 – จุดแข็ง จุดเปราะ และบทบาทกองทัพ
ครม.อนุทินได้รับโปรดเกล้าฯ 19 กันยายน 2568 ตรงกับวันครบรอบรัฐประหาร 19 กันยา 2549 เหตุบังเอิญนี้ถูกมองว่าเป็น “แผลใจ” ของเพื่อไทย แต่กลับเป็น"เครื่องหมาย"ของภูมิใจไทยในฐานะผู้เขียนเกมใหม่
การจัดโผ ครม. มีทั้งนักการเมืองสายบ้านใหญ่และ “คนนอกมืออาชีพ” เข้ามากุมกระทรวงเศรษฐกิจ แต่ก็มี จุดเปราะบางที่ต้องจับตา ได้แก่
คดีการเมืองและที่ดิน : กระทรวงยุติธรรม มหาดไทย และคมนาคม ล้วนอยู่ในมือภูมิใจไทย คดีฮั้วเลือกสว. และคดีเขากระโดงถูกตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส หากบริหารผิดพลาดอาจย้อนทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล
กลาโหมและชายแดน : การแต่งตั้ง “บิ๊กเล็ก” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เป็น รมว.กลาโหม แต่ถูกท้าทายจากประเด็นชายแดนไทย–กัมพูชา ทั้งเรื่องการสร้างรั้ว การเปิดด่าน และวาทกรรม “ชาติที่ 3” ขณะที่ “บิ๊กดุล” พล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ เพื่อนรุ่น วปอ. ของนายกฯ รับบทบาทเป็นกุญแจเชื่อมทหาร–การเมือง–ชายแดน เพื่อเสริมอำนาจภูมิใจไทยในอีสาน
ดังนั้น ครม.อนุทิน1 จึงถูกวางให้ทำงานแบบ “ทหารคุมเสถียรภาพ–นักการเมืองดูดคะแนน–เทคโนแครตเร่งผลงาน” เพื่อรักษาสมดุลในช่วงเวลาจำกัดนี้
ศึกคู่แข่ง – วิกฤตพรรคอนุรักษ์นิยม และฉากทัศน์หลังยุบสภา
ในขณะที่ภูมิใจไทยเร่งสะสมอำนาจ พรรคการเมืองคู่แข่งสายอนุรักษ์นิยมกำลังเผชิญวิกฤตภายในอย่างหนัก
รวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) – หลังหมดยุค พล.อ.ประยุทธ์ ความขัดแย้งภายในปะทุ เลขาธิการพรรคและ สส.หลายคนลาออก พรรคไร้ทิศทางแม้หัวหน้าพรรคพีระพันธุ์ยังพยายามประคอง
ประชาธิปัตย์ (ปชป.) – วิกฤตผู้นำหลังเฉลิมชัย ศรีอ่อน ลาออก พรรคต้องเลือกหัวหน้าคนใหม่ 18 ต.ค.68 ระหว่าง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่มีภาพลักษณ์อุดมการณ์ กับ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ที่ถูกมองว่ามีทุนและสายสัมพันธ์เข้มแข็ง แต่ยังเผชิญปัญหากฎข้อบังคับการเลือกหัวหน้าพรรค
ท่ามกลางวิกฤตพรรคคู่แข่ง ภูมิใจไทยจึงมีพื้นที่ขยายตัวได้มากขึ้น โดยเฉพาะหากเลือกเดินเกมยุบสภาเร็วในขณะที่พรรคอื่นยังไม่พร้อม
ฉากทัศน์หลังครบ 4 เดือน อาจมี 3 แบบ
- ภูมิใจไทยยุบสภาเร็วเพื่อกุมความได้เปรียบ
- ภท.จับมือพรรคเล็กและอาจคุยกับเพื่อไทยเพื่อจัดตั้งรัฐบาลใหม่
- หากเกมสะดุด อาจเกิด “ศึกสามก๊ก” ระหว่าง ภูมิใจไทย–พรรคประชาชน–เพื่อไทย ในการเลือกตั้งปี 2569
ภูมิใจไทยกำลังใช้รัฐบาลเสียงข้างน้อย 4 เดือนเป็น “ห้องทดลองอำนาจ” เพื่อปูทางสู่การเลือกตั้งใหม่ กลยุทธ์ “เกมเร็ว กินรวบ” ทำให้พรรคก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางทางการเมือง
ขณะที่พรรคคู่แข่งสายอนุรักษ์นิยมเผชิญวิกฤตภายใน และบทบาทของกองทัพยังคงเป็นปัจจัยแฝงที่ส่งผลต่อเสถียรภาพการเมืองไทย
สุดท้ายการตัดสินใจยุบสภาจะเป็นจุดชี้ชะตาว่าภูมิใจไทยจะผงาดขึ้นเป็นพรรคแกนนำระยะยาวได้จริงหรือไม่


