“หนู 1”ภายใต้พันธะสัญญา ยุบสภา–แก้รธน. ปชน.ไว้ใจภูมิใจไทยได้?
นายกฯอนุทินตั้ง ครมหนู1 ภายใต้ข้อตกลงยุบสภาภายใน 4 เดือน แก้ รธน.60 พรรคประชาชนไว้ใจพรรคภูมิใจไทยคู่ขัดแย้งในอดีตได้จริง?
KEY
POINTS
- พรรคภูมิใจไทยให้คำมั่นสัญญากับพรรคประชาชนว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือน และผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องรับภาระดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว
- เกิดข้อกังขาและความไม่เชื่อมั่นต่อพรรคภูมิใจไทยว่าจะทำตามสัญญาได้จริง เนื่องจากในอดีตเคยมีจุดยืนตรงข้ามกับการแก้รัฐธรรมนูญและเป็นคู่ขัดแย้งกับพรรคประชาชนมาตลอด
- ข้อตกลงดังกล่าวถูกมองว่าเป็น "ระเบิดเวลาทางการเมือง" ที่อาจทำให้พรรคภูมิใจไทยถูกโจมตีว่าผิดสัญญา หากไม่สามารถผลักดันการยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จ
หลังจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และเตรียมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่าง พรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาชน กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตา เนื่องจากมีเงื่อนไขสำคัญตามข้อตกลงทางการเมืองที่กำลังเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลชุดนี้
ข้อตกลงหลัก : ยุบสภา–แก้รัฐธรรมนูญ
พรรคภูมิใจไทยในฐานะผู้สืบทอดอำนาจจากพรรคประชาชน ตกลงว่าจะ
ยุบสภาภายใน 4 เดือน
ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเปิดทางให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชนประกาศชัดว่าจะ ไม่ส่งบุคลากรเข้าร่วมรัฐบาล และจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไป ทำให้ภาระทั้งหมดตกอยู่กับพรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาลใหม่
คำถามใหญ่ : ทำได้จริงหรือไม่?
ความท้าทายของภูมิใจไทย คือ การผลักดันแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมา พรรคไม่เคยแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ตรงกันข้าม ในหลายจังหวะเคยวางตัวเป็น “คู่ตรงข้าม” กับพรรคสีส้ม ทั้งในยุค “อนาคตใหม่” จนถึง “ก้าวไกล”
น.ส.จิราพา สินธุไพร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซ้ำเติมความสงสัย โดยตั้งคำถามว่าทำไมพรรคประชาชนจึงมอบภารกิจนี้ให้กับภูมิใจไทย ทั้งที่เป็นพรรคซึ่งไม่เคยหาเสียงด้วยนโยบายแก้รัฐธรรมนูญ และยังเคยขัดขวางการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้
มิติการเมือง : รอยร้าวที่อาจลุกลาม
ข้อตกลง “ยุบสภาภายใน 4 เดือน” ถูกจับตาว่าจะเป็น ระเบิดเวลาทางการเมือง หากภูมิใจไทยทำไม่สำเร็จ อาจถูกโจมตีว่า “ผิดสัญญา”
การแก้รัฐธรรมนูญต้องอาศัยเสียงสนับสนุนกว้างขวางในรัฐสภา แต่ภูมิใจไทยไม่เคยถูกมองว่าเป็น “แกนนำประชาธิปไตย” ทำให้ความชอบธรรมถูกตั้งคำถามตั้งแต่เริ่มต้น
บทบาทและคำพูดของ พรรคภูมิใจไทย ตลอดช่วงการเมืองหลังการเลือกตั้งปี 2566 จนถึงครึ่งแรกของปี 2568 สะท้อนพัฒนาการทางการเมืองที่เต็มไปด้วย “การขีดเส้น” และ “การปฏิเสธ” ต่อพรรคการเมืองสีส้ม (อนาคตใหม่–ก้าวไกล) รวมถึงการประกาศชัดเจนว่าจะไม่เป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” แต่กลับต้องมาจับมือเป็นฝ่ายค้านร่วมกันในภายหลัง กระทั่งกำลังจะตั้งครม.หนู1
1. จุดยืนชัด : “ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย”
27 มีนาคม 2566 – อนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์หลังยุบสภา ย้ำว่า “รัฐบาลเสียงข้างน้อยเหมือนตายทั้งเป็น” เพราะจะไม่มีเสถียรภาพ กฎหมายไม่ผ่าน และอยู่ได้ไม่นาน
25 มิถุนายน 2566 – อนุทินระบุว่า “การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยคือรอวันตาย” พร้อมยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่สร้างเงื่อนไขการเมือง แต่จะให้พรรคอันดับ 1–2 ได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน
11 กรกฎาคม 2566 – ก่อนการโหวตนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ย้ำ ไม่เห็นด้วยกับการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และจะไม่ร่วมกับพรรคหรือบุคคลที่ต้องการแก้ ม.112
2. เส้นแบ่งชัดเจน : “ไม่ร่วมก้าวไกล – ไม่แก้ ม.112”
17 พฤษภาคม 2566 – พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า จะไม่สนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคที่มีนโยบายแก้หรือยกเลิก ม.112 โดยถือเป็น “หลักการที่ไม่สามารถต่อรองได้”
20 กรกฎาคม 2566 – อนุทินย้ำอีกครั้งว่า “ภูมิใจไทยไม่สามารถร่วมงานกับพรรคที่จะแก้ ม.112 และไม่สนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อย”
3 สิงหาคม 2566 – ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคฯ ประกาศ 3 หลักการสำคัญของภูมิใจไทย คือ (1) ไม่แตะ ม.112 (2) ไม่ทำงานกับก้าวไกล (3) ไม่จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย
3. วาทะร้อนแรงในสภา : การโต้กลับก้าวไกล
13 กรกฎาคม 2566 – ระหว่างการโหวตนายกรัฐมนตรี ชาดา ไทยเศรษฐ์ อภิปรายโจมตีนโยบายแก้ ม.112 ของก้าวไกลอย่างเผ็ดร้อน โดยชี้ว่าเป็นเรื่องที่ “อันตราย ทำให้ประเทศล่มจม” พร้อมประกาศว่า หากก้าวไกลเดินหน้าแก้ ม.112 พรรคภูมิใจไทยจะ “คัดค้านทุกลมหายใจ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่”
ชาดายังหยิบยกประเด็น “ICC ฟ้องประมุขรัฐ” และกล่าวเชิงอารมณ์ว่า หากแก้ ม.112 จะกระทบสถาบันฯ อย่างร้ายแรง พร้อมย้ำว่า “ถ้าไม่มีสถาบันฯ พรรคก้าวไกลไม่มีวันได้ 140 ที่นั่ง”
4. จุดยืนเข้ม : ไม่แก้–ไม่นิรโทษกรรม ม.112
9–16 กรกฎาคม 2568 – ภราดร และกรวีร์ ปริศนานันทกุล อภิปรายชัดเจนว่า ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของภูมิใจไทยจะไม่นิรโทษคดี ม.112 เด็ดขาด
ภราดรอ้างถึงบทเรียนปี 2556 ที่การนิรโทษกรรมเคยนำไปสู่ความขัดแย้งและรัฐประหารปี 2557
กรวีร์ย้ำทางออกคือ “พระราชทานอภัยโทษ” ไม่ใช่นิรโทษกรรม รวมทั้งไม่แตะต้องคดีทุจริตและคดีร้ายแรง
5. จาก “ไม่ร่วม” สู่ “ฝ่ายค้านร่วม”
แม้ตลอดปี 2566–2567 พรรคภูมิใจไทยจะประกาศชัดเจนว่า “ไม่มีทางทำงานร่วมกับก้าวไกล” และยก ม.112 เป็นเส้นแดง แต่หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกลางปี 2568 พรรคกลับต้องเดินเคียงข้างก้าวไกลในฐานะ ฝ่ายค้านร่วม เพื่อถ่วงดุลรัฐบาลใหม่ของอนุทินเอง


