posttoday

“หนู 1”ภายใต้พันธะสัญญา ยุบสภา–แก้รธน. ปชน.ไว้ใจภูมิใจไทยได้?

08 กันยายน 2568

นายกฯอนุทินตั้ง ครมหนู1 ภายใต้ข้อตกลงยุบสภาภายใน 4 เดือน แก้ รธน.60 พรรคประชาชนไว้ใจพรรคภูมิใจไทยคู่ขัดแย้งในอดีตได้จริง?

KEY

POINTS

  • พรรคภูมิใจไทยให้คำมั่นสัญญากับพรรคประชาชนว่าจะยุบสภาภายใน 4 เดือน และผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องรับภาระดำเนินการเพียงฝ่ายเดียว
  • เกิดข้อกังขาและความไม่เชื่อมั่นต่อพรรคภูมิใจไทยว่าจะทำตามสัญญาได้จริง เนื่องจากในอดีตเคยมีจุดยืนตรงข้ามกับการแก้รัฐธรรมนูญและเป็นคู่ขัดแย้งกับพรรคประชาชนมาตลอด
  • ข้อตกลงดังกล่าวถูกมองว่าเป็น "ระเบิดเวลาทางการเมือง" ที่อาจทำให้พรรคภูมิใจไทยถูกโจมตีว่าผิดสัญญา หากไม่สามารถผลักดันการยุบสภาและแก้รัฐธรรมนูญได้สำเร็จ

หลังจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และเตรียมจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ความสัมพันธ์ระหว่าง พรรคภูมิใจไทย และ พรรคประชาชน กลายเป็นประเด็นที่ถูกจับตา เนื่องจากมีเงื่อนไขสำคัญตามข้อตกลงทางการเมืองที่กำลังเป็นโจทย์ใหญ่ของรัฐบาลชุดนี้

ข้อตกลงหลัก : ยุบสภา–แก้รัฐธรรมนูญ

พรรคภูมิใจไทยในฐานะผู้สืบทอดอำนาจจากพรรคประชาชน ตกลงว่าจะ

ยุบสภาภายใน 4 เดือน

ผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อเปิดทางให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม พรรคประชาชนประกาศชัดว่าจะ ไม่ส่งบุคลากรเข้าร่วมรัฐบาล และจะทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไป ทำให้ภาระทั้งหมดตกอยู่กับพรรคภูมิใจไทยและพรรคร่วมรัฐบาลใหม่

คำถามใหญ่ : ทำได้จริงหรือไม่?

ความท้าทายของภูมิใจไทย คือ การผลักดันแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมา พรรคไม่เคยแสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ตรงกันข้าม ในหลายจังหวะเคยวางตัวเป็น “คู่ตรงข้าม” กับพรรคสีส้ม ทั้งในยุค “อนาคตใหม่” จนถึง “ก้าวไกล”

น.ส.จิราพา สินธุไพร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซ้ำเติมความสงสัย โดยตั้งคำถามว่าทำไมพรรคประชาชนจึงมอบภารกิจนี้ให้กับภูมิใจไทย ทั้งที่เป็นพรรคซึ่งไม่เคยหาเสียงด้วยนโยบายแก้รัฐธรรมนูญ และยังเคยขัดขวางการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้

มิติการเมือง : รอยร้าวที่อาจลุกลาม

ข้อตกลง “ยุบสภาภายใน 4 เดือน” ถูกจับตาว่าจะเป็น ระเบิดเวลาทางการเมือง หากภูมิใจไทยทำไม่สำเร็จ อาจถูกโจมตีว่า “ผิดสัญญา”

การแก้รัฐธรรมนูญต้องอาศัยเสียงสนับสนุนกว้างขวางในรัฐสภา แต่ภูมิใจไทยไม่เคยถูกมองว่าเป็น “แกนนำประชาธิปไตย” ทำให้ความชอบธรรมถูกตั้งคำถามตั้งแต่เริ่มต้น
 

บทบาทและคำพูดของ พรรคภูมิใจไทย ตลอดช่วงการเมืองหลังการเลือกตั้งปี 2566 จนถึงครึ่งแรกของปี 2568 สะท้อนพัฒนาการทางการเมืองที่เต็มไปด้วย “การขีดเส้น” และ “การปฏิเสธ” ต่อพรรคการเมืองสีส้ม (อนาคตใหม่–ก้าวไกล) รวมถึงการประกาศชัดเจนว่าจะไม่เป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” แต่กลับต้องมาจับมือเป็นฝ่ายค้านร่วมกันในภายหลัง กระทั่งกำลังจะตั้งครม.หนู1

1. จุดยืนชัด : “ไม่ตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย”

27 มีนาคม 2566 – อนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์หลังยุบสภา ย้ำว่า “รัฐบาลเสียงข้างน้อยเหมือนตายทั้งเป็น” เพราะจะไม่มีเสถียรภาพ กฎหมายไม่ผ่าน และอยู่ได้ไม่นาน

25 มิถุนายน 2566 – อนุทินระบุว่า “การเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยคือรอวันตาย” พร้อมยืนยันว่าพรรคภูมิใจไทยจะไม่สร้างเงื่อนไขการเมือง แต่จะให้พรรคอันดับ 1–2 ได้สิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลก่อน

11 กรกฎาคม 2566 – ก่อนการโหวตนายกรัฐมนตรี พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ย้ำ ไม่เห็นด้วยกับการตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย และจะไม่ร่วมกับพรรคหรือบุคคลที่ต้องการแก้ ม.112

2. เส้นแบ่งชัดเจน : “ไม่ร่วมก้าวไกล – ไม่แก้ ม.112”

17 พฤษภาคม 2566 – พรรคภูมิใจไทยออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการว่า จะไม่สนับสนุนแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคที่มีนโยบายแก้หรือยกเลิก ม.112 โดยถือเป็น “หลักการที่ไม่สามารถต่อรองได้”

20 กรกฎาคม 2566 – อนุทินย้ำอีกครั้งว่า “ภูมิใจไทยไม่สามารถร่วมงานกับพรรคที่จะแก้ ม.112 และไม่สนับสนุนรัฐบาลเสียงข้างน้อย”

3 สิงหาคม 2566 – ศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรคฯ ประกาศ 3 หลักการสำคัญของภูมิใจไทย คือ (1) ไม่แตะ ม.112 (2) ไม่ทำงานกับก้าวไกล (3) ไม่จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย

3. วาทะร้อนแรงในสภา : การโต้กลับก้าวไกล

13 กรกฎาคม 2566 – ระหว่างการโหวตนายกรัฐมนตรี ชาดา ไทยเศรษฐ์ อภิปรายโจมตีนโยบายแก้ ม.112 ของก้าวไกลอย่างเผ็ดร้อน โดยชี้ว่าเป็นเรื่องที่ “อันตราย ทำให้ประเทศล่มจม” พร้อมประกาศว่า หากก้าวไกลเดินหน้าแก้ ม.112 พรรคภูมิใจไทยจะ “คัดค้านทุกลมหายใจ ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่”

ชาดายังหยิบยกประเด็น “ICC ฟ้องประมุขรัฐ” และกล่าวเชิงอารมณ์ว่า หากแก้ ม.112 จะกระทบสถาบันฯ อย่างร้ายแรง พร้อมย้ำว่า “ถ้าไม่มีสถาบันฯ พรรคก้าวไกลไม่มีวันได้ 140 ที่นั่ง”

4. จุดยืนเข้ม : ไม่แก้–ไม่นิรโทษกรรม ม.112

9–16 กรกฎาคม 2568 – ภราดร และกรวีร์ ปริศนานันทกุล อภิปรายชัดเจนว่า ร่างกฎหมายนิรโทษกรรมของภูมิใจไทยจะไม่นิรโทษคดี ม.112 เด็ดขาด

ภราดรอ้างถึงบทเรียนปี 2556 ที่การนิรโทษกรรมเคยนำไปสู่ความขัดแย้งและรัฐประหารปี 2557

กรวีร์ย้ำทางออกคือ “พระราชทานอภัยโทษ” ไม่ใช่นิรโทษกรรม รวมทั้งไม่แตะต้องคดีทุจริตและคดีร้ายแรง

5. จาก “ไม่ร่วม” สู่ “ฝ่ายค้านร่วม”

แม้ตลอดปี 2566–2567 พรรคภูมิใจไทยจะประกาศชัดเจนว่า “ไม่มีทางทำงานร่วมกับก้าวไกล” และยก ม.112 เป็นเส้นแดง แต่หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกลางปี 2568 พรรคกลับต้องเดินเคียงข้างก้าวไกลในฐานะ ฝ่ายค้านร่วม เพื่อถ่วงดุลรัฐบาลใหม่ของอนุทินเอง

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ฟูแล่ม พบ คริสตัล พาเลซ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 7 ธ.ค.68