ห้องทดสอบ EMC: กับภารกิจความมั่นคงที่ไม่อาจปล่อยให้ล่าช้า
สถานการณ์ความตึงเครียดไทย-กัมพูชา ยังคุกรุ่น การพัฒนายุทโธปกรณ์เพื่อปกป้องอธิปไตยก็ยิ่งจำเป็น แต่ไทยยังมีอุปสรรคที่สำคัญคือความล่าช้าในการสร้างระบบทดสอบ EMC สำหรับมาตรฐานทางทหาร
ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังทุ่มทรัพยากรและความสนใจไปกับโครงการขนาดใหญ่หลายด้าน กลับมีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่งยวดต่อความมั่นคงของชาติซึ่งถูกละเลยอย่างน่าเสียดาย—นั่นคือ “ห้องทดสอบความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC)” ของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างห้อง EMC ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) ที่ยังคงล่าช้าอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณสำหรับการก่อสร้างห้อง EMC ที่รองรับการทดสอบตามมาตรฐานทางทหารแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้าในการจัดจ้างมากกว่า 2 เดือน ความล่าช้านี้ไม่ใช่เพียงอุปสรรคทางวิศวกรรมหรือกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเท่านั้น หากแต่เป็นความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์ที่กระทบความสามารถในการป้องกันประเทศ และศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของไทยทั้งระบบ
แม้ห้อง EMC จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะทาง แต่ความสำคัญของมันกลับเชื่อมโยงโดยตรงกับความเชื่อถือได้ของยุทโธปกรณ์ การพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และความมั่นคงในระยะยาวของชาติ ทุกวันที่โครงการนี้ล่าช้า ก็คือวันที่ไทยต้องยอมรับความเสี่ยงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สนามรบที่มองไม่เห็น: เหตุใด EMC จึงเป็นหัวใจของมาตรฐานทางทหาร
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าบนสนามรบยุคใหม่เปรียบเสมือนกระแสจราจรที่คับคั่ง หากขาด “ระบบควบคุม” ก็อาจนำสู่ความโกลาหลได้ มาตรฐานความเข้ากันได้ทางแม่เหล็กไฟฟ้า (EMC) จึงทำหน้าที่เป็นหลักประกันว่าอุปกรณ์ทางทหาร เช่น วิทยุสื่อสาร ระบบนำวิถี และเรดาร์ จะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างปลอดภัย โดยไม่สร้างสัญญาณรบกวนซึ่งอาจนำไปสู่ความล้มเหลวในปฏิบัติการจริง
มาตรฐาน MIL-STD-461 ของสหรัฐฯ เป็นกรอบทดสอบสำคัญของโลกยุทธศาสตร์สมัยใหม่ครอบคลุมทั้ง การปล่อยสัญญาณรบกวนผ่านสาย (Conducted Emission), การแผ่คลื่นผ่านอากาศ (Radiated Emission) และ ความทนทานต่อสัญญาณรบกวน (Susceptibility) รวมถึงการทดสอบหนักระดับ EMP ตามมาตรฐาน RS105 ที่จำเป็นต่อการประเมินความพร้อมของยุทโธปกรณ์ในการรับมือสงครามอิเล็กทรอนิกส์
เมื่อประเทศไทยยังไม่มีห้อง EMC ที่สามารถรองรับการทดสอบระดับทหารได้ การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญจึงต้องพึ่งพาห้องทดสอบในต่างประเทศ ซึ่งทำให้ข้อมูลทางเทคโนโลยีที่อ่อนไหวถูกส่งออกนอกประเทศโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่ไม่ใช่เพียงต้นทุนทางการเงิน แต่เป็นต้นทุนเชิงอธิปไตยที่สูงเกินกว่าจะเพิกเฉย
ราคาที่ประเทศต้องจ่าย: ความล่าช้าที่ส่งผลต่อชีวิต เทคโนโลยี และเศรษฐกิจ
ความล่าช้าในการสร้างห้อง EMC ไม่ได้ส่งผลเฉพาะด้านเทคนิค แต่ลุกลามไปสู่ปัญหาด้านความมั่นคงและเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง ดังนี้:
1. ความปลอดภัยของกำลังพลที่ถูกเดิมพัน
การรับมือภัยคุกคามจากระเบิดแสวงเครื่อง (IED) ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีสกัดกั้นสัญญาณ เช่น RF Jammer ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการทดสอบในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้อย่างละเอียดอ่อน ห้อง EMC สามารถจำลองสัญญาณจากตัวจุดชนวนที่ผู้ก่อการร้ายใช้เพื่อทดสอบว่าทหารไทยสามารถป้องกันตนเองได้อย่างแท้จริงหรือไม่ การขาดโครงสร้างพื้นฐานนี้เท่ากับการจำกัดโอกาสปกป้องชีวิตของกำลังพลในพื้นที่เสี่ยง
2. การพึ่งพาต่างประเทศที่บั่นทอนความคล่องตัวด้านความมั่นคง
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (สทป.) และหน่วยงานวิจัยของเหล่าทัพจำเป็นต้องส่งยุทโธปกรณ์ไปทดสอบในต่างประเทศ ทำให้วงจรการพัฒนาล่าช้าและมีค่าใช้จ่ายสูง แถมยังต้องเสี่ยงต่อการเปิดเผยเทคโนโลยีที่เป็นความลับทางทหาร ความล่าช้าเช่นนี้ลดศักยภาพในการตอบสนองต่อภัยคุกคามที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างยิ่ง
3. การสูญเสียความสามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจ
การพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า โทรคมนาคม อากาศยาน และอุปกรณ์การแพทย์อัจฉริยะ ต่างต้องพึ่งการทดสอบ EMC ทั้งสิ้น เมื่อบริษัทไทยไม่สามารถทดสอบได้ตั้งแต่ต้นทาง ก็ต้องรอจนพบข้อบกพร่องในช่วงท้ายของโครงการ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการแก้ไขสูงจนอาจทำให้โครงการต้องล้มเลิกไป ความล่าช้าในโครงการภาครัฐหนึ่งโครงการ จึงกลายเป็นผลกระทบแบบโดมิโนที่ทำลายโอกาสทางเศรษฐกิจของประเทศ
เวลาที่เสียไปคือโอกาสของชาติที่หายไป
โครงการก่อสร้างห้องทดสอบ EMC ของ GISTDA คือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่เชื่อมโยงทั้งความมั่นคงทางทหาร อธิปไตยทางเทคโนโลยี และศักยภาพการแข่งขันของไทยในเวทีโลก การปล่อยให้โครงการล่าช้าคือการปล่อยให้ทหารมีเกราะป้องกันที่ไม่สมบูรณ์ ปล่อยให้ความลับทางเทคโนโลยีรั่วไหลออกนอกประเทศ และปล่อยให้โอกาสทางเศรษฐกิจหลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย
สิ่งที่ประเทศไทยกำลังสูญเสียไม่ใช่เพียงเวลา หากคือความได้เปรียบเชิงยุทธศาสตร์ที่ไม่อาจซื้อคืนได้ในภายหลัง ความล่าช้าของโครงการนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง และเป็นสัญญาณเตือนให้รัฐเร่งทบทวนความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านความมั่นคงที่จำเป็นต่ออนาคตของประเทศ
ท้ายที่สุด คำถามที่เราควรตั้งไม่ใช่ว่า “เราสร้างห้อง EMC ได้หรือไม่” แต่คือ “เรายอมสูญเสียอะไรไปบ้างจากการที่มันยังไม่ถูกสร้างเสร็จ” ซึ่งหากโครงการนี้ สามารถสำเร็จตามแผน จะมีส่วนในการเสริมสร้างความมั่นคงของชาติได้เพียงใด


