ทักษิณติดคุก ปิดฉากชินวัตร รอเกิดใหม่ทางการเมือง ฟื้นเพื่อไทย
จากผู้นำลี้ภัยสู่การยอมรับโทษ ทักษิณกลับมาเป็นสัญลักษณ์ใหม่ พรรคเพื่อไทยอยู่บนทางสองแพร่ง ระหว่างฟื้นบารมีหรือสูญสิ้นอำนาจตระกูล
KEY
POINTS
- การกลับมารับโทษจำคุก 1 ปีของทักษิณ ชินวัตร ถูกมองว่าเป็นการเลือกปิดฉากบทบาททางการเมืองของตนเอง เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ที่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม
- การติดคุกครั้งนี้อาจเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ตระกูลชินวัตรต้องยุติบทบาทผู้นำโดยตรง และเป็นการ "เกิดใหม่" ในบทบาทเชิงสัญลักษณ์ทางการเมืองแทน
- พรรคเพื่อไทยใช้ภาพลักษณ์การยอมรับโทษของทักษิณเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นและฐานเสียง ท่ามกลางความท้าทายในการตัดสินใจว่าจะพึ่งพาบารมีตระกูลชินวัตรต่อไปหรือก้าวไปสู่ยุคใหม่
ทักษิณติดคุกจุดเปลี่ยนตระกูลชินวัตร
การเดินทางกลับประเทศไทยของ ทักษิณ ชินวัตร หลังลี้ภัยยาวนานกว่า 17 ปี กลายเป็นเหตุการณ์ทางการเมืองที่สั่นสะเทือนทั้งสังคมและพรรคเพื่อไทย เขาเข้ารับฟังคำพิพากษาและยอมจำคุก 1 ปี จากโทษเดิม 8 ปีที่ได้รับการลดโทษด้วยพระราชทานอภัยโทษ การที่อดีตผู้นำซึ่งเคยถูกมองว่าหลบหนีคดี กลับมาเดินเข้าสู่เรือนจำอย่างเปิดเผย สะท้อนถึงการเลือกปิดฉากบทบาทบางส่วนของชีวิตการเมืองด้วยตนเอง
ทักษิณให้เหตุผลว่า การกลับมาครั้งนี้เป็นการส่งกำลังใจแก่ประชาชน และย้ำจุดยืนในการทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน สัญญะเช่นนี้ถูกตีความได้หลายด้าน บ้างเห็นว่าเป็นการยอมรับชะตากรรมและต้องการฟื้นความเชื่อมั่น ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมองว่าเป็นเพียงการสร้าง “ภาพจำ” ใหม่ เพื่อวางกลยุทธ์ทางการเมืองในระยะยาว
ในเรือนจำ ทักษิณได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้คุมและเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษให้ผู้ต้องขัง นี่มิใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นแนวปฏิบัติที่ราชทัณฑ์ใช้กับนักโทษที่มีความรู้ เช่นเดียวกับกรณีชูวิทย์ สรยุทธ และเสก โลโซ การใช้ชีวิตเยี่ยงนักโทษทั่วไปช่วยเสริมภาพลักษณ์ว่าเขาไม่ได้อยู่เหนือกฎหมาย
พรรคเพื่อไทยท่ามกลางแรงกดดันและโอกาส
ขณะที่ทักษิณใช้ชีวิตในเรือนจำ พรรคเพื่อไทยต้องเผชิญโจทย์ใหญ่ ทั้งจากความคาดหวังของประชาชนและผลสำรวจคะแนนนิยมที่ตกลงมาอยู่อันดับ 3 รองจากพรรคภูมิใจไทย แม้ในอดีตพรรคเคยประสบความสำเร็จเชิงนโยบาย แต่ปัจจุบันกลับถูกตั้งคำถามถึงประสิทธิภาพการบริหาร และความสามารถในการสร้างความหวังใหม่
อย่างไรก็ตาม พรรคยังคงพยายามสร้างวาทกรรมใหม่ โดยนำภาพลักษณ์ทักษิณในฐานะ “วีรบุรุษประชาธิปไตย” ผู้ยอมรับโทษและไม่ทิ้งพรรคมาใช้สื่อสารกับฐานเสียง ตัวอย่างที่เห็นชัดคือผลการเลือกตั้งซ่อมที่เชียงราย พรรคเพื่อไทยสามารถเอาชนะพรรคก้าวไกลได้อย่างขาดลอย แสดงว่าฐานเสียงดั้งเดิมยังคงเหนียวแน่น
แต่เส้นทางข้างหน้าก็เต็มไปด้วยความเสี่ยง พรรคยังต้องหาคำตอบว่าควรเดินต่อด้วยการพึ่งพาตระกูลชินวัตร หรือจะก้าวข้ามไปสู่ยุคของ “นักการเมืองอาชีพ” ที่ไม่ใช่สายตรงของตระกูล เพื่อฟื้น “DNA” ความเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตยให้แข็งแรงกว่าเดิม
ทางสองแพร่ง – ปิดฉากหรือฟื้นบารมี?
ผู้วิเคราะห์จำนวนไม่น้อยชี้ว่า ตระกูลชินวัตรมักเจอ “กับดักทางการเมือง” ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหารหรือคดีความ จนทำให้บทบาทของผู้นำจากตระกูลนี้สะดุดซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกลับมาครั้งนี้ของทักษิณจึงอาจเป็นบทเรียนสุดท้ายที่บีบให้พรรคเพื่อไทยต้องก้าวข้าม “ผู้นำสายเลือดชินวัตร”
ในอีกมุมหนึ่ง การยอมรับโทษและใช้ชีวิตในเรือนจำโดยไม่มีอภิสิทธิ์ใด ๆ ก็อาจกลายเป็นเครื่องมือสร้าง “กระแสฮีโร่” ให้กับพรรคได้ หากสังคมมองว่าเขากล้ารับผิดและไม่ปฏิเสธความจริง กระบวนการพักโทษและการลดโทษเพิ่มเติมอาจทำให้เขาอยู่ในเรือนจำจริงเพียง 2–3 เดือน ซึ่งยิ่งเสริมภาพว่า “เขาได้รับโทษแล้ว”
ทว่าโอกาสก็มาพร้อมวิกฤต กระแสต่อต้านแม้จะเบาบาง แต่ยังคงอยู่ ขณะที่การขาดอำนาจรัฐทำให้พรรคเพื่อไทยสร้างความน่าเชื่อถือได้ยากขึ้น การหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่ไม่ใช่ชินวัตรจึงกลายเป็นภารกิจสำคัญในการเลี่ยงประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
บทสรุป
การกลับมาของทักษิณอาจเป็นการปิดฉากบทบาทตรง ๆ ของตระกูลชินวัตร แต่ไม่ใช่การหายไปจากการเมือง หากแต่เป็นการ “เกิดใหม่” ในอีกบทบาทหนึ่ง—จากผู้นำที่ถูกมองว่าใช้เส้นทางลัด กลายเป็นนักโทษที่ยอมรับชะตากรรม และอาจถูกหยิบยกเป็นสัญลักษณ์ใหม่ของพรรคเพื่อไทย
การเมืองไทยจึงยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า การ “เกิดใหม่” ครั้งนี้จะเพียงพอที่จะฟื้นบารมี หรือจะเป็นเพียงช่วงสุดท้ายของตระกูลการเมืองที่เคยทรงอิทธิพลที่สุดในรอบกว่า 20 ปีที่ผ่านมา.
ที่มา Clearปม EP.70 ปิดฉาก 'ชินวัตร' หรือรอเวลา? (คลิ๊กชม)


