แบ่งเงินธุรกิจ SME จ่ายให้เจ้าของกิจการอย่างไร จึงจะประหยัดภาษี
การแบ่งเงินธุรกิจ SME ระหว่างเจ้าของกิจการ หุ้นส่วน รวมถึงกรรมการอย่างไร เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม และประหยัดภาษี
สิ่งสำคัญที่สุดในการบริหารธุรกิจ SME ให้รอดและมีกำไรโดยเฉพาะนักธุรกิจมือใหม่คือ การบริหารจัดการเรื่องเงิน โดยเฉพาะการแบ่งเงินธุรกิจ SME ระหว่างเจ้าของกิจการ หุ้นส่วน รวมถึงกรรมการ เป็นกระบวนการที่ต้องพิจารณาหลายประเด็นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ตรงตามข้อตกลงที่ได้วางไว้ตั้งแต่แรก และยังหมายรวมถึงการทำให้ประหยัดภาษียิ่งขึ้นอีกด้วย จะมีหลักการพิจารณาอย่างไรบ้าง มาติดตามอ่านกันได้ดังนี้
แบ่งเงินธุรกิจ SME จ่ายเป็นเงินเดือนกรรมการ
การจ่ายเงินเดือนกรรมการ หรือค่าตอบแทนกรรมการ คือการจ่ายเงินหรือผลประโยชน์ที่ได้รับเป็นการตอบแทนสำหรับหน้าที่และความรับผิดชอบของกรรมการในการบริหารและดูแลบริษัท ซึ่งเงินเดือนกรรมการจัดอยู่ในมาตรา 40(1) ของประมวลรัษฎากร
ดังนั้นการจ่ายเงินเดือนให้กรรมการในธุรกิจ SME เพื่อประหยัดภาษีเป็นวิธีหนึ่งที่สามารถใช้ในการบริหารจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องทำอย่างรอบคอบและถูกต้องตามกฎหมาย การแบ่งเงินธุรกิจเพื่อจ่ายเป็นเงินเดือนกรรมการ จะถูกนับเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท ซึ่งสามารถหักค่าลดหย่อนภาษีได้
นอกจากนี้ควรกำหนดเงินเดือนให้เป็นไปตามตำแหน่งและหน้าที่ความรับผิดชอบของกรรมการ กล่าวคือการคำนวณเงินเดือนที่ให้กับกรรมการจะต้องวางแผนให้ดี เพราะถึงแม้ว่าสามารถนำมาลดภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ แต่ก็อาจต้องไปเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแทน หากมีเงินเดือนที่สูงเกินไป
แบ่งเงินธุรกิจ SME จ่ายเป็นโบนัสให้เจ้าของกิจการ
การจ่ายโบนัสให้เจ้าของกิจการในธุรกิจ SME จัดอยู่มาตรา 40(2) เนื่องจากเป็นเงินที่ได้รับจากหน้าที่ หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือจากการรับทำงานให้เป็นครั้งคราว ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ค่าส่วนลด เงินอุดหนุนในการทำงาน เบี้ยประชุมด้วย
นอกจากนี้ยังเป็นวิธีหนึ่งในการบริหารจัดการภาษีและการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่การจ่ายโบนัสควรสัมพันธ์กับผลการดำเนินงานของบริษัท เช่น ยอดขาย กำไรสุทธิ หรือการบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งการจ่ายโบนัสควรทำเมื่อธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงินเพียงพอ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงานของธุรกิจ ทั้งนี้โบนัสที่เจ้าของกิจการได้รับจะถูกนับเป็นรายได้บุคคล ซึ่งจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราภาษีที่กำหนด
แบ่งเงินธุรกิจ SME จ่ายเป็นค่าบริการให้เจ้าของกิจการ
การจ่ายค่าบริการให้เจ้าของกิจการในธุรกิจ SME ควรมีความสอดคล้องกับบริการที่เจ้าของกิจการได้ให้กับบริษัท เช่น ค่าที่ปรึกษา ค่าบริหารจัดการ ค่าบริการทางกฎหมาย หรือค่าบริการด้านการตลาด ซึ่งควรทำสัญญาบริการที่ชัดเจนระหว่างเจ้าของกิจการและบริษัท ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของบริการ อัตราค่าบริการ และเงื่อนไขการชำระเงิน โดยบริษัทจะต้องหักเงินไว้ส่วนหนึ่งก่อนจ่ายเงินให้กับเจ้าของกิจการ ซึ่งต้องหัก ณ ที่จ่าย ในอัตรา 3%
นอกจากนี้ค่าบริการที่จ่ายให้เจ้าของกิจการต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทในงบการเงิน รวมถึงสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีในฐานะค่าใช้จ่ายของบริษัทได้ อย่างไรก็ตามเจ้าของกิจการต้องไปยื่นเป็นรายได้ในนามบุคคลธรรมดา และเสียภาษีตามอัตราภาษีที่กำหนดด้วยเช่นกัน
แบ่งเงินธุรกิจ SME จ่ายเป็นค่าเช่าให้เจ้าของกิจการ
กรณีที่จ่ายค่าเช่าให้เจ้าของกิจการในธุรกิจ SME ควรจัดทำสัญญาเช่าอย่างเป็นทางการระหว่างเจ้าของกิจการ (ในฐานะผู้ให้เช่า) และบริษัท (ในฐานะผู้เช่า) โดยค่าเช่าที่จ่ายให้เจ้าของกิจการต้องบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัท และสามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งก่อนการจ่ายเงินจะต้องทำการหักเงินไว้ส่วนหนึ่งก่อนจ่ายเงินค่าเช่าให้กับเจ้าของบริษัท ในอัตรา 5%
ทั้งนี้การจ่ายค่าเช่าให้เจ้าของกิจการ จัดอยู่มาตรา 40(5) เป็นรายได้จากการให้เช่าทรัพย์สิน เงิน หรือประโยชน์อย่างอื่นที่ได้เนื่องจากการให้เช่าทรัพย์สิน
กล่าวโดยสรุป เนื่องจากในทางกฎหมาย เจ้าของบริษัท กรรมการ เป็นบุคคลธรรมดา และบริษัทเป็นนิติบุคคล ซึ่งถือว่าเป็นคนละส่วนกัน ดังนั้นการที่เจ้าของกิจการจะนำเงินออกจากบริษัทได้จึงจะต้องมีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน
จากข้อมูลที่ได้มาข้างต้นจะเห็นได้ว่า หลักการจ่ายเงินเดือน โบนัส ค่าบริการ และการจ่ายอื่นๆ ให้กับเจ้าของบริษัท กรรมการ และหุ้นส่วน จะต้องลงบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายในทางบัญชีทั้งสิ้น รวมถึงจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย และผู้รับเงินจะต้องนำรายได้ดังกล่าวไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ในขณะเดียวกันถ้าเลือกจ่ายเงินเดือนเจ้าของบริษัท กรรมการ และหุ้นส่วนในอัตราที่ไม่สูงมาก เจ้าของบริษัท กรรมการ และหุ้นส่วนอาจจะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเลยก็เป็นได้
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting


