posttoday

เปิดสถิติพลังแห่งธุรกิจครอบครัวที่ชาวโลกต้องจับจ้อง

26 กุมภาพันธ์ 2567

เปิดสถิติพลังแห่งธุรกิจครอบครัวที่ชาวโลกต้องจับจ้อง ด้วยตัวเลขจ้างงาน 60% และสร้างรายได้ 70% ของ GDP โลก โดยมีรัฐบาลหลายประเทศเร่งสนับสนุน ทั้งฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย

KEY

POINTS

  • 2 ใน 3 ของบริษัททั่วโลกเป็นธุรกิจครอบครัว สามารถสร้างการจ้างงาน 60 เปอร์เซ็นต์ และรายได้คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของ GDP โลก โดยธุรกิจกิจครอบครัวที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่ง สามารถสร้างรายได้ถึง 8.02 ล้านล้านดอลลาร์
  • งานวิจัยของ FAMZ พบว่าในประเทศไทยมีสัดส่วนของธุรกิจครอบครัวถึงกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และมีสัดส่วนในการสร้าง GDP ประเทศไทยถึง 60 เปอร์เซ็นต์ 
  • หลายประเทศทั่วโลก ทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย เริ่มมองเห็นความสำคัญและให้การสนับสนุน 

ช่วงที่ผ่านมา มีข้อมูลทางเศรษฐกิจที่เปิดเผยให้เห็นความสำคัญอย่างมากของธุรกิจครอบครัว ในการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ โดย 2 ใน 3 ของบริษัททั่วโลกเป็นธุรกิจครอบครัว สามารถสร้างการจ้างงาน 60 เปอร์เซ็นต์ และรายได้คิดเป็น 70 เปอร์เซ็นต์ของ GDP โลก อีกทั้งธุรกิจกิจครอบครัวที่ใหญ่ที่สุด 500 แห่ง สามารถสร้างรายได้ถึง 8.02 ล้านล้านดอลลาร์ สอดคล้องกับงานวิจัยของ FAMZ ที่พบว่าในประเทศไทยมีสัดส่วนของธุรกิจครอบครัวถึงกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ และมีสัดส่วนในการสร้าง GDP ประเทศไทยถึง 60 เปอร์เซ็นต์ 

อย่างไรก็ตาม บทบาทสำคัญเหล่านี้ยังไม่เป็นที่เข้าใจดีหรือได้รับการยอมรับจากรัฐบาลและหน่วยงานที่กำกับดูแลมากนัก ดังนั้นหลายประเทศจึงได้นำเสนอนโยบายหรือริเริ่มโครงการ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของธุรกิจครอบครัว และสร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบ และความท้าทายเฉพาะที่ธุรกิจเหล่านี้ต้องเผชิญ  

โดยในปีค.ศ.2022 สหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกเมื่อพิจารณาจากผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ได้เข้าร่วมในกลุ่มประเทศที่กำลังเติบโตโดยหวังที่จะแก้ไขปัญหาให้กับธุรกิจครอบครัว และในเดือนธันวาคม ปีค.ศ.2022 รัฐสภาสหรัฐฯ ได้เปิดการประชุมพรรคการเมืองครั้งแรก เพื่อการสนับสนุนธุรกิจครอบครัวและบทบาทของธุรกิจครอบครัวในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การสร้างงาน และผู้สนับสนุนชุมชน 

ทั้งนี้ Family Business Caucus มีเป้าหมายเพื่อเชื่อมโยงสมาชิกสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกากับธุรกิจครอบครัวของประเทศ ทั้งในเมืองหลวงของประเทศและในรัฐบ้านเกิดของตน นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายอื่น ได้แก่ การให้ความรู้แก่สมาชิกสภาคองเกรสเกี่ยวกับบทบาทของธุรกิจครอบครัวต่อเศรษฐกิจอเมริกันและชุมชนท้องถิ่น โดยการประชุมพยายามสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับประเด็นต่าง ๆ เช่น ความท้าทายด้านแรงงานและนโยบายภาษีที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจครอบครัว การสนับสนุนสภาพแวดล้อมด้านการกำกับดูแล (Regulatory Landscape) ให้มีความยุ่งยากน้อยลง 

ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมความเป็นผู้ประกอบการเป็นอีกภารกิจหลักของการประชุมเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัวในครั้งนี้ด้วย รวมถึงความต้องการที่จะช่วยให้สมาชิกสภาคองเกรสเข้าใจถึงพลังของธุรกิจครอบครัว 32.4 ล้านรายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มนายจ้างเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยมีพนักงานมากกว่า 83 ล้านคนที่สร้างรายได้ 7.7 ล้านล้านดอลลาร์ให้กับเศรษฐกิจของประเทศในแต่ละปีอีกด้วย

เปิดสถิติพลังแห่งธุรกิจครอบครัวที่ชาวโลกต้องจับจ้อง

ขณะที่ในประเทศอื่นก็มีการออกกฎหมายเพื่อสนับสนุนธุรกิจครอบครัวเช่นกัน อาทิ ในช่วงต้นปีค.ศ.2023 แคนาดาและโปแลนด์ได้เปิดตัวกฎข้อบังคับใหม่ที่มีจุดประสงค์ เพื่อพัฒนากระบวนการสืบทอดกิจการของธุรกิจครอบครัวในประเทศของตน โดยข้อเสนอใหม่ของรัฐบาลกลางของแคนาดา จะเปลี่ยนแปลงกฎข้อบังคับด้านภาษีที่กำกับการถ่ายโอนกิจการระหว่างรุ่นของธุรกิจหรือฟาร์มขนาดเล็ก โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ปีค.ศ.2024 เป็นต้นไป ซึ่งการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษีของแคนาดาจะช่วยลดค่าใช้จ่ายของพ่อแม่ในการส่งต่อความเป็นเจ้าของธุรกิจให้กับบุตรหลานหรือสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ คาดว่าโครงการนี้จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจครอบครัวนับหมื่นทั่วประเทศ 

ทำนองเดียวกันกฎข้อบังคับธุรกิจครอบครัวใหม่ของโปแลนด์ ซึ่งออกเป็นกฎหมายเมื่อเดือนมกราคม ปีค.ศ.2023 มุ่งที่จะช่วยให้การสืบทอดกิจการระหว่างสมาชิกในครอบครัวราบรื่นขึ้นและมีค่าใช้จ่ายน้อยลงเมื่อเกษียณอายุหรือเสียชีวิต โดยกฎหมายนี้ได้จำลองส่วนหนึ่งมาจากกฎหมายของเยอรมนีและออสเตรีย และกำหนดกรอบทางกฎหมายที่อนุญาตให้สมาชิกในครอบครัวสามารถทำกำไรจากบริษัทและทรัพย์สินของบริษัทโดยไม่ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมโดยตรงในธุรกิจ

ดังนั้นจึงเป็นการแก้ไขจากข้อบังคับเดิมที่ต้องมีส่วนร่วมโดยตรง ที่บางครั้งนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างสมาชิกในครอบครัวและกระบวนการแบ่งทรัพย์สินที่ยืดเยื้อ ทั้งนี้สถาบันธุรกิจครอบครัวแห่งสหราชอาณาจักรประมาณการว่า 57 เปอร์เซ็นต์ของธุรกิจครอบครัวในโปแลนด์กำลังวางแผนที่จะถ่ายโอนกิจการภายใน 5 ปีข้างหน้า

ไม่เว้นแม้แต่ประเทศในตะวันออกกลาง มีการวางกลยุทธ์เพื่อขยายธุรกิจครอบครัวในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) หลังจากการเปิดตัวโครงการเพื่อสนับสนุนกิจกรรมของธุรกิจครอบครัว สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้บังคับใช้กฎหมายธุรกิจครอบครัวฉบับใหม่เมื่อต้นปีค.ศ. 2023 เพื่อช่วยให้ธุรกิจครอบครัวเอาชนะอุปสรรคในระหว่างการวางแผนสืบทอดกิจการ หลังจากในปีค.ศ. 2022 ได้จัดตั้งโครงการริเริ่มและศูนย์ธุรกิจครอบครัวแห่งใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนความต่อเนื่องของธุรกิจครอบครัว ยกระดับบทบาทในภาคเอกชน และดึงดูดธุรกิจต่างๆมายังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์มากขึ้น 

ทั้งนี้เป้าหมายหลัก 2 ประการของโครงการ Thabat Venture Builder คือการเปลี่ยน 200 โครงการธุรกิจครอบครัวให้กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ภายในปีค.ศ. 2030 และเพิ่มการมีส่วนร่วมของธุรกิจครอบครัวต่อเศรษฐกิจของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นสองเท่าภายในปีค.ศ. 2032 นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนเพิ่มเติมจาก Dubai Centre for Family Business ซึ่งเปิดตัวโดยหอการค้าดูไบ ศูนย์แห่งนี้นำเสนอโปรแกรมและทรัพยากรด้านการศึกษาที่มุ่งเน้นธุรกิจครอบครัวเพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านระหว่างรุ่นให้ประสบความสำเร็จอีกด้วย

ขณะที่ฮ่องกงเพิ่มสิ่งจูงใจสำหรับสำนักงานครอบครัว (Family Offices) ด้วยจุดยืนในฐานะศูนย์กลางบริการทางการเงินและการธนาคารระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นที่ตั้งของธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกกว่า 70 แห่งจากทั้งหมด 100 แห่ง ฮ่องกงจึงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับสำนักงานครอบครัวมายาวนาน 

ในปีค.ศ. 2523 ได้ดำเนินการด้วยความหวังว่าจะดึงดูดสำนักงานครอบครัวชั้นนำอีกอย่างน้อย 200 แห่งภายในปีค.ศ. 2025 ซึ่งจะส่งผลให้ฮ่องกงเป็นจุดหมายปลายทางสำนักงานครอบครัวชั้นนำในเอเชีย โดยสำนักงานส่งเสริมการลงทุนฮ่องกง (InvestHK) ได้จัดตั้งทีมงานเฉพาะเพื่อช่วยให้สำนักงานครอบครัวเปลี่ยนมาอยู่ในเมือง ทีมงานได้ช่วยเหลือสำนักงานครอบครัวในต่างประเทศ 14 แห่งในการจัดการดำเนินงานในฮ่องกงได้ และอีก 50 แห่งอยู่ในกำหนดที่จะสามารถดำเนินการได้หลังจากนี้ 

นอกจากนี้รัฐบาลยังจะจัดหาเงินทุนสำหรับ Hong Kong Academy for Wealth Legacy แห่งใหม่ ซึ่งเป็นบริการที่นำเสนอภายใต้ The Financial Services Development Council ที่จะให้บริการพัฒนาความสามารถแก่ผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมและเจ้าของความมั่งคั่งรุ่นต่อไป ทั้งนี้กลยุทธ์การขยายสำนักงานครอบครัวในฮ่องกง รวมถึงการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (The Securities and Futures Commission) เพื่อแก้ไขข้อกำหนดด้านใบอนุญาต จะทำให้ครอบครัวสามารถใช้ประโยชน์จากผลประโยชน์การลงทุนในฮ่องกงได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม การเสนอนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งส่งเสริมการเติบโตและความยั่งยืนของธุรกิจครอบครัวดูเหมือนจะเป็นก้าวย่างที่ดีเมื่อพิจารณาถึงความโดดเด่นในเศรษฐกิจโลก แม้ผลกระทบที่แท้จริงของตัวอย่างข้างต้นยังไม่สามารถวัดผลได้ แต่หากพิจารณาจากแนวโน้มในปัจจุบันเป็นข้อบ่งชี้ รัฐบาลในหลายประเทศก็คาดว่าจะนำแนวทางที่คล้ายคลึงกันนี้มาใช้ และสร้างกรอบการทำงาน เพื่อสนับสนุนเจ้าของธุรกิจที่มีคนหลายเจเนอเรชัน และผลกระทบเชิงบวกต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว


อ้างอิง : www.famz.co.th
โดย : รองศาสตราจารย์ ดร.เอกชัย อภิศักดิ์กุล