posttoday

รัฐตรึงดีเซลลิตรละ 30 บาท...แลกฟื้นกำลังซื้อดันเศรษฐกิจ

08 พฤศจิกายน 2564

คอลัมน์ เศรษฐกิจรอบทิศ

ท่ามกลางเดินหน้าเปิดประเทศทั้งไทยและอีกหลายๆ ประเทศทำให้ผู้คนและเริ่มกลับมาดำเนินชีวิตทั้งการทำงานในสำนักงาน, โรงเรียนและมหาวิทยาลัยทยอยเปิด, การจับจ่ายใช้สอย, การเดินทางทั้งเพื่อธุรกิจและหรือท่องเที่ยวในประเทศและข้ามประเทศ ผลที่ตามมาคือกลไกภาคโลจิสติกส์กลับมาขยับตัวตามภาวะเศรษฐกิจที่มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างเป็นนัย ผลข้างเคียงที่กำลังเผชิญคือราคาน้ำมันตลาดโลกมีการปรับราคาอย่างต่อเนื่องเห็นชัดตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมาทะลุ 70 บาทต่อบาร์เรล เปรียบเทียบราคาน้ำมันตลาดดูไบ (Dubai Crude Oil Price) ต้นปีกับ 1 พฤศจิกายน 2564 ราคาเพิ่มจากบาร์เรลละ 50.61 เหรียญสหรัฐเป็น 80.59 บาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 61.2 หากทอนเป็นลิตร (1 บาร์เรลเท่ากับ 158.987 ลิตร) เพิ่มขึ้นประมาณ 6.47 บาทต่อลิตร

ไทยเป็นประเทศนำเข้าเชื้อเพลิงสัดส่วนร้อยละ 80 ส่งผลให้ราคาหน้าปั้มมีการปรับราคาสูงขึ้นมาโดยตลอดเปรียบเทียบต้นปีกับราคาปัจจุบันเบนซิน 95 เพิ่มขึ้นลิตรละ 9.25 บาทหรือร้อยละ 39.78 และน้ำมันดีเซล B10/B7 ราคาเพิ่มขึ้นลิตรละ 5.50 บาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.74  น้ำมันเชื้อเพลิงเป็นปัจจัยสำคัญของทุกภาคส่วนเศรษฐกิจโดยเฉพาะภาคโลจิสติกส์มีต้นทุนต่อจีดีพีร้อยละ 13.6 โดยต้นทุนขนส่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 7.3 ต่อจีดีพี ไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการขนส่งด้วยรถบรรทุกสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 79.3  ขณะที่ขนส่งทางรางมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.9  ความหวังต้องรอให้โครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศแล้วเสร็จแต่คงไม่ได้เห็นในเร็วๆ นี้

ทั้งนี้ภาคขนส่งใช้น้ำมันดีเซลส่วนใหญ่ใช้ B10 คือมีสัดส่วนน้ำมันปาล์มร้อยละ 10 ต่อมาราคาน้ำมันปาล์มแพงกว่าดีเซลจึงลดสัดส่วนเป็น B7 ขณะที่ดีเซล B20 อาจหนืดกว่าและไส้กรองตันเร็วเหมาะกับรถบรรทุกใหม่ (เริ่มต้นปี 2562 ที่แก้ปัญหาพวกนี้ได้)  หากส่องกล้องดูเนื้อในของราคาน้ำมันขายปลีกโดยใช้กรณีศึกษา “น้ำมันดีเซล” รัฐบาลมีนโยบายอุ้มไม่เกินราคาลิตรละ 30 บาทเพื่อพยุงไม่ให้มีการปรับราคาสินค้าซึ่งจะส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยและการท่องเที่ยวของประชาชน อาจเป็นอุปสรรคต่อการเปิดประเทศและการฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยแลกกับใช้เงินกองทุนและลดค่าการตลาด

เข้าใจว่าขณะนี้เงินกองทุนเหลือไม่ถึง 7,000 ล้านบาทล่าสุดคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) เห็นชอบให้กู้เงินเพิ่มอีก 2 หมื่นล้านบาท หากครม.เห็นชอบจะทำให้สามารถตรึงราคาน้ำมันดีเซลได้อย่างน้อย 6 เดือนจนถึงประมาณเดือนเมษายนปีหน้า ภายใต้สมมุติฐานว่าราคาน้ำมันโลกไม่เกิน 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ล่าสุด (11พ.ย.64) ราคาน้ำมันดูไบและ WTI ปรับลดลงที่ระดับใกล้ๆ 80 เหรียญสหรัฐ ตรงนี้คงช่วยซื้อเวลาได้ในระดับหนึ่งแต่ยังห่างไกลกับราคาที่ผู้ประกอบการขนส่งออกมาประท้วงและเรียกร้องให้ตรึงดีเซล B7/B10 ไว้ไม่เกิน 25 บาทต่อลิตร ต้องยอมรับว่าราคาน้ำมันดีเซลตั้งแต่กลางเดือนมกราคม ปี 2564 ราคาเกิน 25 บาทต่อลิตรมาโดยตลอดเดือนพฤษภาคมกระโดดเป็น 27.50 บาทเดือนมิถุนายน 28.59 บาท, เดือนกรกฎาคม 29.29 บาท ล่าสุด (1 พ.ย.64) ปรับเป็น 29.69 บาทเป็นราคาที่รัฐบาลอุดหนุนแล้วแสดงให้เห็นว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการขนส่งส่วนใหญ่ปรับตัวได้ระดับหนึ่ง

หากเปรียบเทียบราคาดีเซลกับประเทศเพื่อนบ้านพบว่าราคาน้ำมันของไทยสูงกว่า จากการสอบถามต้นทางโดยตรงราคาล่าสุดน้ำมันดีเซลของมาเลเซียเป็นเงินไทยลิตรละ 17.24 บาท, เวียดนามประมาณ 27.30 บาท, สปป.ลาว 29.275 บาท, เมียนมาร์ราคาที่จังหวัดเมียวดีติดกับอำเภอแม่สอดลิตรละ 27 บาท แต่ราคาที่นครย่างกุ้ง 25.35 บาท ทั้ง 2 ประเทศนำเข้าเชื้อเพลิงจากไทยเป็นส่วนใหญ่แต่ราคากลับถูกกว่า  สำหรับกัมพูชาเข้าใจว่าราคาดีเซลลิตรละ 32.64 บาท

ข้อกังขาว่าทำไมราคาดีเซลของไทยจึงสูงกว่าชาวบ้าน ส่องกล้องดูโครงสร้างราคาดีเซลของไทยณ วันที่ 29 ต.ค. 64 ราคาหน้าโรงกลั่น 21.66 บาทต่อลิตร แต่ไส้ในมีภาษีสรรพสามิตลิตรละ 5.99 บาท, ภาษีเทศบาล 0.599 บาท, VAT 1.94 บาท, ค่าการตลาดที่ปรับลดแล้ว 1.40 บาท, เงินสมทบกองทุนเหลือแค่หนึ่งสตางค์ เห็นได้ว่ารัฐบาลยังมีช่องว่างสามารถลดราคาน้ำมันดีเซลได้อีกโดยสมมุติว่าลดราคาภาษี     สรรพสามิตลงครึ่งหนึ่งจะทำให้ลดราคาน้ำมันดีเซลได้อย่างน้อยลิตรละ 3 บาท ไทยใช้น้ำมันดีเซลเฉลี่ยวันละประมาณ 60 ล้านลิตรเงินภาษีซึ่งเป็นรายได้ของรัฐจะหายไปเดือนละ 5,580 ล้านบาท การลดภาษีสรรพสามิตในอดีตรัฐบาลก่อนหน้าเคยนำมาใช้เพื่อไม่ให้กระทบชาวบ้านและเศรษฐกิจ

คราวนี้มาดูว่าราคาน้ำมันที่สูงขึ้นมีผลต่อผู้ประกอบการขนส่งมาน้อยเพียงใด ขอยกกรณีศึกษาต้นทุนรวมขนส่งมีต้นทุนน้ำมันดีเซลเฉลี่ยประมาณร้อยละ 20 แต่บางกิจการอาจไปถึงร้อยละ 25-30 ขึ้นอยู่กับอายุการใช้งานของรถและลักษณะของกิจการ นอกจากนี้ยังมีค่าทางด่วนเฉลี่ยร้อยละ 3.7, ค่าซ่อมบำรุง-เปลี่ยนยางประมาณร้อยละ 7.81, เงินเดือน-ค่าหัวเที่ยวร้อยละ 15.9 และยังมีค่าดอกเบี้ย, ค่าเสื่อมราคาอาคาร-รถบรรทุก-ลานขนส่งและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ขึ้นอยู่แต่ละกิจการ จากกรณีศึกษาข้างต้นหากราคาน้ำมันดีเซลราคาต้นปีเทียบกับปัจจุบันสูงขึ้นลิตรละ 5.50 บาทจะมีผลต่อต้นทุนรวมขนส่งประมาณร้อยละ 4.50 ซึ่งแน่นอนมีผลต่อผลประกอบการของธุรกิจ

คำถามต้นทุนดีเซลที่เพิ่มขึ้นมีผลต่อระดับราคาสินค้าที่จะกระทบประชาชนมากน้อยเพียงใด ได้จัดทำแบบจำลองโดยใช้ตัวอย่างรถบรรทุก 852 คันเป็นทั้งรถเทรลเลอร์และรถตู้ทึบโดยเฉลี่ยราคาค่าขนส่งมีสัดส่วนอยู่ในราคาขายสินค้าประมาณร้อยละ 0.5-1.0 (ข้อมูลโลจิสติกส์ปีพ.ศ.2561 ของสศช.ระบุร้อยละ 7) ขึ้นอยู่กับราคาค่าขนส่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นราคาคงที่ไม่ได้ผันแปรตามมูลค่าสินค้าที่รับบรรทุก หากสินค้ามีมูลค่าสูงต้นทุนขนส่งต่อราคาขายก็ต่ำหากสินค้ามูลค่าไม่มากต้นทุนขนส่งก็สูง ขอยกตัวอย่าง เช่น เครื่องมือแพทย์-เครื่องใช้ไฟฟ้าราคาต้นทุนขนส่งต่อราคาขายเฉลี่ยประมาณร้อยละ 0.5, อาหารและวัตถุดิบประมาณร้อยละ 0.575, เม็ดพลาสติกร้อยละ 2.185, เหล็กและสแปร์พาร์ทร้อยละ 1.2 ฯลฯ

บทความนี้เป็นการนำกรณีศึกษาที่ได้ใช้ข้อมูลจริงจากธุรกิจขนส่งเพื่อชี้ให้เห็นว่าภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวและมีความเปราะบางทั้งภาคค้าปลีกและภาคการผลิต-บริการจากกำลังซื้อที่มีความตรึงตัวทำให้ “Demand” ความต้องการสินค้ายังไม่คืนกลับมาเหมือนก่อนวิกฤตโควิดระบาดกำลังการผลิต (CPU) ของภาคอุตสาหกรรมยังเหลือ น้ำมันเป็นปัจจัยสำคัญใช้ในภาคอุตสาหกรรม เช่น บอยเลอร์และเตาเผารวมถึงเป็นต้นทุนของค่าระวางเรือซึ่งขณะนี้ราคาปรับสูงขึ้นอย่างน่ากลัว อย่างไรก็ตามในภาคขนส่งยังมีรถจอดจำนวนมากทำให้มีการแข่งขันโดยเฉพาะด้านราคาอย่างรุนแรง ในช่วงปีที่ผ่านมาราคาน้ำมันมีการปรับขึ้นโดยตลอดแต่การปรับราคาในช่วงจังหวะที่ไม่อำนวยเป็นสิ่งที่ทำได้ยากลำบากทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนได้รับผลกระทบ

บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าความจำเป็นที่ภาครัฐจะต้องมีการตรึงราคาน้ำมันดีเซล B7/B10 ไม่เกินลิตรละ 30 บาทถึงแม้จะต้องกู้เงินเพื่อให้กองทุนน้ำมันมีเงินพอที่จะเข้าไปพยุงราคาได้อย่างน้อย 6 เดือนข้างหน้า ราคาน้ำมันดีเซลที่รัฐบาลอุ้มในภาคอุตสาหกรรมแทบไม่มีผลกระทบเนื่องจากมีสัดส่วนต้นทุนขนส่งต่อราคาขายที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งสถานการณ์ของผู้ประกอบการขนส่งและภาคการผลิตไม่เอื้อให้มีการปรับราคาจึงไม่มีสาเหตุที่จะทำให้ภาคค้าปลีกทั้งรายใหญ่และรายย่อยมีข้ออ้างในการปรับราคาสินค้าซึ่งจะกระทบต่อภาวะการใช้จ่ายของประชาชนซึ่งมีความอ่อนแอ บทความนี้อาจมีข้อมูลซึ่งส่วนใหญ่ผู้เขียนเป็นผู้รวบรวม....ความน่าเชื่อถือขึ้นอยู่กับผู้อ่าน...เอาเองครับ

สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ทางเว็บไซต์ www.tanitsorat.com หรือ www.facebook.com/tanit.sorat

   

ข่าวล่าสุด

เสนอพรรคการเมือง 3 ทางออก ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ต้อง 'ห้ามซื้อขาย' เด็ดขาด