posttoday

สู้ไม่ไหวก็ให้เป็นพวกเขาซะ !

03 ตุลาคม 2563

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

************

ซือแป๋คึกฤทธิ์พูดไว้นานแล้วว่า “สู้ไม่ไหวก็ให้เป็นพวกเขาซะ”

ข่าวการปรับโครงสร้างพรรคเพื่อไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมามีท่าทีพิกลๆ ทำให้นึกถึงคำพูดของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่มีฉายาว่า “ซือแป๋แห่งซอยสวนพลู” ที่เคยเล่าถึงการนำพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลกับทหารใน พ.ศ.2490 และรวมถึงตัวท่านเองที่ต้อง “ปรับความสัมพันธ์” กับทหารมาเป็นระยะ

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าให้ฟังว่า ตอนที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 ท่านยังเป็นนักศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ พอทราบข่าวว่าที่ประเทศไทยมีการปฏิวัติโดยคณะราษฎร นักเรียนไทยที่อังกฤษก็แสดงความดีใจกันอย่างเอิกเกริก ด้วยความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ในยุคนั้น “เบื่อเจ้า” ในระบบเก่า แต่พอคณะราษฎรปกครองไปได้สักพัก ก็เริ่ม “เห็นลาย” ว่าคณะราษฎรไม่ได้มีความจริงใจที่จะพัฒนาประเทศไทยไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยแต่อย่างใด ทั้งยังหวงอำนาจ พยายามสืบทอดอำนาจไว้ในพวกคณะราษฎรนั้นเอง

พอท่านกลับมาเมืองไทยและได้ทำงานมาระยะหนึ่ง จนได้มาเป็นอาจารย์พิเศษในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านจึงไปร่วมกับเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน คิดก่อตั้งพรรคการเมือง โดยภายหลังที่มีรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2490ประกาศใช้แล้วท่านก็ตั้งพรรคก้าวหน้าขึ้น

ในขณะที่พวกสนับสนุนคณะราษฎรในสายอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ได้ก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นเช่นเดียวกัน ท่านจึงยุบพรรคก้าวหน้ามารวมกับพรรคประชาธิปัตย์ และตัวท่านเองได้เป็นเลขาธิการของพรรคนี้คนแรก โดยกลุ่มที่สนับสนุนอาจารย์ปรีดีได้เสียงข้างมากและได้ตัดตั้งรัฐบาล โดยมีอาจารย์ปรีดีเป็นนายกรัฐมนตรี

แต่ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 รัฐบาลถูกโจมตีอย่างหนัก ที่สุดทหารก็เข้ายึดอำนาจในวันที่ 8 พฤศจิกายน แล้วทหารก็ให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มี นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคเป็นนายกรัฐมนตรี ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีในครั้งนั้นด้วย ทว่าอยู่มาได้แค่ 4 เดือน ทหารก็มา “จี้” ให้นายควงลาออก แล้วก็ไปเชิญ จอมพลป. พิบูลสงคราม กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรี เข้าสู่ยุค “ทหารครองเมือง” อย่างแท้จริง

ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์เล่าให้ฟังว่า ทหารในยุคนั้น “มาแรง” มากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็มีท่าทีผ่อนปรนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังจะเห็นได้จากให้มีการร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2492 ในเวลาที่รวดเร็ว และมีบทบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองพระมหากษัตริย์ รวมถึงให้มีการเลือกตั้งในทันที แต่บ้านเมืองก็ยังไม่สงบเรียบร้อย ทหารจึงต้องทำรัฐประหารอีกครั้ง แล้วคราวนี้ก็กระชับอำนาจมาอย่างยาวนานจนถึง พ.ศ. 2500 ที่รัฐบาลโกงการเลือกตั้ง ทหารอีกกลุ่มหนึ่งที่นำโดย จอมพลสฤษด์ ธนะรัชต์ ก็เข้ายึดอำนาจ สืบทอดต่อมาถึงจอมพลถนอม กิตติขจร แล้วมาสิ้นสุดอำนาจในเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516

ในช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2490 จนถึง พ.ศ. 2516 รวม 26 ปี ที่นักรัฐศาสตร์เรียกว่าเป็น “ยุคนายทุนขุนศึก” คือทหารได้ควบคุมระบบต่างๆ ของประเทศไว้ทั้งหมด ที่รวมถึงในทางเศรษฐกิจนั้นด้วย รวมถึงที่สื่อมวลชนในยุคนั้นเรียกว่า “ยุคทมิฬ” เพราะมีการใช้อำนาจในทางโหดร้ายของผู้ปกครองอยู่โดยตลอด แต่ในส่วนของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็พยายามที่จะทักท้วง ผ่านทางหนังสือพิมพ์สยามรัฐของท่าน ซึ่งก็ทำได้เพียง “เยาะเย้ย ถากถาง” ด้วยอารมณ์ขันเป็นหลัก เพราะท่านมองดูแล้วไม่น่าที่จะเอากำลังอะไรไปคัดคานได้ เว้นแต่จะใช้ “มติมหาชน” ด้วยการสร้าง “อารมณ์ทางสังคม” ผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ที่ท่านทำอยู่นั้น

แตกต่างจากในช่วง พ.ศ. 2523 ในยุคของ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ต้องร่วม “อุ้มชู” ก็ด้วยเหตุของการเทิดทูนพระมหากษัตริย์ และในช่วงหลังการทำรัฐประหารของ รสช. ใน พ.ศ. 2534 ที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ก็ต้องเข้าให้การ “อนุเคราะห์” เพราะได้รับการร้องขอให้ร่วมกันสร้างความสงบสุขในบ้านเมือง จนดูเหมือนว่าท่านกลับมา “เชิดชู” เผด็จการในช่วงท้ายๆ ของชีวิต

ในความเป็นจริง ทหารคือสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศไทย ในยุคคณะราษฎรก็ได้ใช้ทหารนั้นปกครองดูแลบ้านเมือง จนทหารเข้ามาครอบครองอำนาจนั้นไว้ทั้งหมดตั้งแต่ พ.ศ. 2490 เป็นต้นมา แม้ต่อมาภายหลังทั้งเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 และพฤษภาคม 2535 ที่หลายคนเชื่อว่าทหารได้ “ถอยออก” ไปจากวงจรอำนาจนั้นแล้ว แต่เราก็ได้เห็นการหวนคืนเข้าสู่อำนาจของทหารมาอย่างต่อเนื่อง ดังที่เราได้เห็นการรัฐประหารอีกถึง 2 ครั้งใน พ.ศ. 2549 และ 2557นั้น และดูเหมือนว่าจะพยายามอยู่ในอำนาจต่อไปอีกนานเท่านาน ซึ่งก็แสดงถึงความเชื่อมั่นของทหารเอง ว่าไม่มีพลังอำนาจใดมาเทียบเทียมได้

ปรากฏการณ์ “ถอยกรูด” ของพรรคเพื่อไทย เชื่อกันว่าเป็นไปตามความต้องการของ “นายหญิง” ที่พยายามจะ “เซฟครอบครัว” และอนาคตในทางธุรกิจของครอบครัว เพราะคงไม่เห็นประโยชน์ที่จะต่อสู้กับทหาร ดังที่ “นายใหญ่” ผู้อยู่แดนไกลได้ทำมา

โดยนายใหญ่เชื่อว่าตนเองน่าจะมีบารมีในกองทัพอยู่พอสมควร แต่เมื่อเวลากว่า10 ปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า ตนเองก็เป็นแค่ “ท่อน้ำเลี้ยง” ให้ทหารบางกลุ่มสูบกินเรื่อยมา โดยไม่ได้มีการช่วยเหลือให้เกิดผลการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างที่คาดหวัง ครั้งนี้นายหญิงจึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์ที่จะทำเป็นคืนดีกับกองทัพ โดยทำให้ดูประหนึ่งว่าพรรคเพื่อไทยนี้สิ้นฤทธิ์แล้ว และจะโอนอ่อนผ่อนตามต่อผู้มีอำนาจมากขึ้น คล้ายๆ กลับทำทีท่าว่า “เมื่อสู้ไม่ได้ก็เป็นพวกเขาซะ”

อย่างไรก็ตามทหารคงจะต้องระมัดระวังว่า ท่าทีของพรรคเพื่อไทยในครั้งนี้คงไม่ใช่ “ม้าเมืองทรอย” หรือ “ชาวนากับงูเห่า” เพราะนักการเมืองไทยก็ยังเชื่อถืออะไรไม่ได้อยู่วันยังค่ำ เช่นเดียวกันกับที่ทหารอาจจะเชื่อมั่นในตนเองว่า ไม่มีใครหาญสู้ต่อกรหรือมาล้มล้างทหารได้

แบบว่า “เหนือฟ้าก็ยังมีฟ้า” ว่ายังงั้นเถอะ

*******************************

ข่าวล่าสุด

'นิวยอร์ก' คุมโซเชียล บังคับขึ้นคำเตือนอันตรายต่อสุขภาพจิตเยาวชน