รำลึกถึงคุณเฉลียว อยู่วิทยา
โดย...น.พ.วิชัย โชควิวัฒน
***************
เมื่อราว พ.ศ. 2543 เกิดน้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เหตุเพราะฝนตกหนักน้ำระบายไม่ทัน เนื่องจากมีการสร้างถนนยกระดับขวางทางที่น้ำเคยระบายออกจากตัวเมือง (Flood way) บางแห่งน้ำท่วมสูงมากเกือบท่วมหัว ยังมีร่องรอยที่ร้านข้าวต้มนายยาวที่มีชื่อเสียงโด่งดังทำเครื่องหมายไว้
ช่วงนั้น ผู้เขียนยังรับราชการเป็นผู้บริหารอยู่ในกระทรวงสาธารณสุข ได้รับมอบหมายจากปลัดกระทรวงให้หาเงินและสิ่งของบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยที่หาดใหญ่ ซึ่งเป็นงานที่หน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขทำกันเป็นประจำ เพราะมีภัยพิบัติใหญ่เกิดขึ้นในประเทศบ่อยๆ
หน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขนอกจากช่วยบรรเทาทุกข์ผู้ประสบภัยแล้ว จะต้องป้องกันและแก้ปัญหาด้านสาธารณสุขในบริเวณที่เกิดภัยพิบัติด้วย
ปัญหาหนึ่งที่เกิดเป็นประจำหลังภาวะน้ำท่วม คือการระบาดของ “โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง” ซึ่งก็คืออหิวาตกโรคนั่นเอง แต่เราใช้ “วิชาศรีธนนไชย” ตั้งชื่อโรคนี้เสียใหม่ ไม่เรียกอหิวาต์ เพราะถ้าเรียกอหิวาต์ จะต้องรายงานต่อองค์การอนามัยโลก ตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเสียชื่อเสียงมาก กระทบต่อการเดินทางท่องเที่ยวและอื่นๆ “น้องๆ” ผลกระทบจากโรคโควิด-19
ในทางวิชาการอหิวาตกโรคที่ระบาดในประเทศไทยช่วงหลังมิใช่อหิวาต์แบบเดิม (Classical cholera) แต่เป็นสายพันธุ์เอล-เทอร์ (El-Tor cholera) ซึ่งมีความรุนแรงน้อยกว่า การเรียกชื่อใหม่ว่า “โรคอุจจาระร่วง อย่างแรง” (Severe Diarrhea) เพื่อมิให้เกิดผลกระทบรุนแรง แต่การควบคุมป้องกันก็ดำเนินการอย่างการควบคุม โรคอหิวาต์
ก่อนหน้านั้น อหิวาต์เป็นโรคประจำถิ่นของประเทศไทย เพราะเชื้อชนิดเอล-ทอร์ชอบบริเวณที่มีน้ำกร่อยคือบริเวณ 8 จังหวัดรอบอ่าวไทย การแพร่ระบาดสู่จังหวัดอื่น มักตั้งต้นจากจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรม มีแรงงานอพยพมาอยู่มากโดยเฉพาะจากภาคอีสาน การระบาดในภาคอีสานมักเกิดช่วงสงกรานต์ มีวันหยุดยาว แรงงานเดินทางกลับบ้านมาก มีบางคนนำอหิวาต์ติดตัวไปด้วย การระบาดมักเริ่มต้นจากจังหวัดที่เป็นชุมทางคือนครราชสีมา และขอนแก่น หลังจากนั้นก็มักเกิดขึ้นในจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสาน เป็นข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งในหนังสือพิมพ์เป็น “ปกติวิสัย” แทบทุกปีในช่วงนั้น
ลักษณะการระบาดดังกล่าวหยุดลงเมื่อนายแพทย์ทรงกิจ อติวนิชยพงศ์ ได้รับแต่งตั้งไปเป็นนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ ได้ทำการควบคุมโรคเชิงรุกโดยตั้งหน่วยสุขศึกษาประชาสัมพันธ์ ออกไปให้สุขศึกษาล่วงหน้าก่อนการเกิดโรคแก่ประชาชนในชุมชนที่เกิดโรคเป็นประจำ โดยทำหน้าที่ “ค้นหา” ผู้ป่วยด้วย เมื่อพบจะดำเนินการควบคุมโรคอย่างทันท่วงทีคือให้การรักษาและจ่ายยาให้ผู้สัมผัสโรคโดยรอบเพื่อ “หยุดการแพร่ระบาดของโรค” ตามหลัก “รู้เร็ว แก้ปัญหาเร็ว” (Early recognition and prompt response) โดยทำการ “ปิดล้อมโรค” (Containment of disease) ไม่ให้แพร่ระบาด
สมุทรปราการเป็นจุดตั้งต้นของการแพร่โรค “อุจจาระร่วงอย่างแรง” ที่สำคัญในภาคอีสาน เมื่อควบคุมโรคที่สมุทรปราการได้ การแพร่ระบาดในภาคอีสานก็ค่อยๆ จางหายไปจนหมด
เหลือแต่การระบาดเป็นครั้งคราวหลังภัยพิบัติโดยเฉพาะอุทกภัย เวลานั้น กรมอนามัยใช้มาตรการจัดหน่วยออกไป “ล้างบ่อน้ำ” ในชุมชน แต่ได้ผลไม่มาก เพราะการระบาดมักเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น
การเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้การระบาดของโรคนี้หยุดลงจนหายไปคือ การที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ในยุคที่นายแพทย์มรกต กรเกษม เป็นเลขาธิการ และนายแพทย์สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ เป็นผู้อำนวยการกองวิชาการ ผลักดันให้มีการ “กระจายอำนาจ” การขึ้นทะเบียนน้ำดื่มในภาชนะปิดสนิท ให้ขออนุญาตได้ที่สำนักการสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ ไม่ต้อง “ผูกขาดอำนาจ” อยู่ที่ อย. ผลคือทำให้เกิดการผลิตน้ำดื่มจำหน่ายกันมากมาย จากเดิมที่มีผู้ผูกขาดเพียงไม่กี่เจ้า และส่วนใหญ่เป็นขนาด 20 ลิตร ซึ่งต้องมีค่ามัดจำขวดหรือถัง และใช้ยาก จึงมีใช้กันเฉพาะในบ้านที่พอมีกำลังซื้อ
การกระจายอำนาจการขึ้นทะเบียนน้ำดื่ม ทำให้มีผู้ผลิตน้ำดื่มออกมาแข่งขันกันอย่างหลากหลาย และแพร่หลายทั่วประเทศ การแพร่หลายของน้ำดื่มดังกล่าวทำให้ผู้ประสบอุทกภัยมีน้ำสะอาดทั้งบริโภคและอุปโภคอย่างทั่วถึง ทั้ง น้ำดื่ม ล้างหน้า แปรงฟัน ล้างภาชนะ ล้างมือ รวมไปถึงการชำระล้างหลังถ่ายหนัก การระบาดของ “โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง” หรือ อหิวาต์ จึงกลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว โดยหลังน้ำท่วมที่หาดใหญ่เป็นจุดแรกที่ไม่เกิดอหิวาต์ระบาด
ตอนนั้น ผู้เขียนได้ “บอกบุญ” ขอบริจาคไปตามที่ต่างๆ ซึ่งมีผู้บริจาคสิ่งของมาจนกองเป็นพะเนิน ส่วนเงิน คุณเฉลียว อยู่วิทยา บริจาคให้มา 10 ล้านบาท เงินก้อนนี้ผู้เขียนใช้ส่วนหนึ่งซื้อน้ำบริจาคโดยให้ซื้อจากโรงงานในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงโดยเร็ว ไม่ต้องขนไปให้ยุ่งยาก เพราะน้ำหนักมาก แม้กระนั้นของบริจาคอื่นๆ จำนวนมากก็ต้องขนไปโดยเครื่องบินซี 120
เงินบริจาคของคุณเฉลียวจึงนอกจากมีส่วนช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยที่หาดใหญ่ในครั้งนั้นแล้ว ยังมีส่วนร่วมในการสร้างประวัติศาสตร์การสาธารณสุข คือ การสิ้นสุดการระบาดของอหิวาตกโรคในประเทศไทย
เงินที่ใช้บรรเทาทุกข์ในครั้งนั้นยังไม่หมด ผมได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเก็บรักษาไว้ มีผู้รับผิดชอบดูแลซึ่งหลายปีต่อมาท่านผู้นี้ได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ต่อมามีกรณีเด็กคนหนึ่งติดเอดส์โดย “อาจสัมพันธ์” กับการเข้ารับบริการเป็นผู้ป่วยในที่โรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งในภาคอีสาน เพราะพ่อแม่เด็กไม่มีผู้ใดติดเอดส์ ผู้เขียนได้รับแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการสอบข้อเท็จจริง มี อ.จอน อึ๊งภากรณ์ ร่วมเป็นกรรมการด้วย ในที่สุด ได้ข้อสรุปว่า “หาสาเหตุไม่ได้” แต่สมควรช่วยเหลือพ่อแม่เด็ก ผมปรึกษา คุณเฉลียว ขอใช้เงินที่เหลือ คุณเฉลียวไม่ขัดข้อง เงินก้อนนี้จึงช่วยบรรเทาทุกข์แก่อีกครอบครัวหนึ่ง โดยนอกจากเงินช่วยเหลือก้อนหนึ่งแล้ว ผู้เขียนรับภาระหายาบริจาคส่งทางรถขนส่งให้หมอเด็กที่จังหวัดใช้ดูแลรักษาเด็กอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี
ต่อมามีคนไข้หญิงติดเชื้อเอดส์จากความผิดพลาดในการให้เลือดของโรคพยาบาลแห่งหนึ่งทางภาคใต้ ปลัดกระทรวงสาธารณสุขมอบให้ผู้เขียนหาทางช่วยเหลือ คนไข้หญิงรายนี้มีลูกยังเล็กถึง 5 คน และเริ่มมีอาการโรคเอดส์เต็มขั้นแล้ว เงินก้อนนี้ก็ได้ใช้ให้การช่วยเหลือแก่ครอบครัวนี้ด้วย โดยไม่ปรากฏเป็น “ข่าวครึกโครม” ใดๆ
การช่วยเหลือผู้ป่วยทั้งสองรายนี้ ปลัดกระทรวงสั่งการให้ผู้เขียนเป็นผู้ไปมอบเงินให้ แต่ผู้เขียนปฏิเสธ เพราะไม่ต้องการบุญคุณใดๆ และไม่ต้องการให้เป็นข่าวใดๆ ขณะนี้เหตุการณ์ผ่านมาราว 20 ปี แล้ว คงสมควรแก่เวลาที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ได้
คุณเฉลียว อยู่วิทยา เป็นคนไทยที่สามารถก่อร่างสร้างตัวโดยการประกอบธุรกิจจากเล็กๆ จนประสบความสำเร็จอย่างน่าชื่นชม คุณเฉลียวมีลูกหลานหลายคน แทบทั้งหมดเป็นคนดี และมีจิตกุศลสาธารณะ มีการบริจาคเพื่อการกุศลจำนวนมาก แน่นอนว่า ทุกตระกูลย่อมมีบางคนที่เข้าข่ายเป็น “โครงกระดูกในตู้” ที่ทำให้ปลาในข้องเดียวกันพลอยเสียหายไปด้วย
ขอแสดงความเสียใจกับลูกหลานคุณเฉลียวทุกคนในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
********************


