posttoday

สัปดาห์ประวัติศาสตร์, ไวรัส และการลงทุน

05 มีนาคม 2563

คอลัมน์ เปิดโลกลงทุน โดย...ดร. สมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ. กรุงไทย

ในช่วงสัปดาห์ที่ 24-28 ก.พ. ที่ผ่านมา ถือเป็นสัปดาห์ที่ลำบากทีเดียวสำหรับสินทรัพย์เสี่ยงเลยทีเดียว ดัชนี SET Index ปรับตัวลงถึง 158 จุด หรือประมาณ 10.6% ภายในแค่ 5 วันทำการซื้อขายเท่านั้นเอง ในมุมหนึ่ง ก็ให้ถือว่าเราได้เห็นเหตุการณ์ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ การที่หุ้นไทยปรับตัวลดลงขนาดนี้ถือเป็นปรับตัวลงถึง 3 Standard Deviation ด้วยสถิติก็ต้องบอกว่าโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากๆ ทั้งหมดนี้ก็มาจากความกังวลต่อการแพร่กระจายของ COVID-19 และผลกระทบที่จะมีต่อเศรษฐกิจโดยรวม

จริงๆ แล้วสถานการณ์การแพร่ระบาดในจีนเริ่มที่จะดีขึ้นตามลำดับ หลังจากที่รัฐบาลใช้วิธี “ปิดประเทศ” ไปก่อนหน้านี้ จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่น้อยลงไปมาก แต่การแพร่ระบาดนอกประเทศจีนกลับรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะในเกาหลีใต้ อิตาลี หรืออิหร่าน ขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็ทยอยตรวจพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับสิ่งที่ต้องติดตามจากนี้ไปสำหรับ COVID-19 เราประเมินว่ามีอยู่ สาม ประเด็นด้วยกัน หนึ่ง คือ หลังจากที่จีนกลับมา “เปิดประเทศ” อีกครั้ง การแพร่ระบาด “ระลอกสอง” จะเกิดขึ้นหรือไม่? สอง คือการระบาดในต่างประเทศจะขยายตัวเป็นวงกว้างเพียงใด จะ“ลากยาว” เพียงใด และจะ“พีค” เมื่อไหร่? สาม คือ การพัฒนา “วัคซีน” เพื่อต่อสู้กับศึกครั้งนี้จะสำเร็จเมื่อใด? ถ้ามีการยืนยันว่าวัคซีนใช้ได้จริง ก็น่าจะลดความกังวลไปได้มากทีเดียว

มันคงเป็นเรื่องยากที่จะประเมินว่าสถานการณ์จะ “ลากยาว” เมื่อใด ด้วยความหวังส่วนตัวก็อยากมันให้ “พีค” ซะตั้งแต่วันนี้เลย เราจะได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างเดิมเป็นปรกติสุข แต่ดูเหมือนไวรัสวายร้ายตัวนี้จะไม่ใจดีเช่นนั้น แต่หากมองสถานการณ์ในจีน ตั้งแต่ทางการจีนได้ออกมาตรการควบคุมการเดินทางในช่วงตรุษจีน รวมถึงขยายวันหยุดออกไป ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันขึ้นไป “พีค” ที่ 14 วันหลังจากนั้น และสถานการณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้น แต่ทว่าประเทศอื่นๆ อาจจะไม่สามารถดำเนินมาตรการได้เด็ดขาดเหมือนรัฐบาลจีน รวมถึงอาจมีกรณีบุคคล “มหาภัย” เกิดขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม การที่แต่ละบุคคลพยายามป้องกันดูแลรักษาตัวเอง การเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารสถานการณ์และวิธีการรับมือ และการทำงานอย่างเข้มข้นของบุคลลากรทางด้านสาธารณสุขอีกจำนวนมาก ก็หวังว่าจะช่วยควบคุมไวรัสตัวนี้ได้ในที่สุด แม้ว่าระยะเวลาอาจจะต้อง “บวกๆ” จากกรณีของจีนไปอีก “หน่อย”

สำหรับผลกระทบต่อเศรษฐกิจ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มหายไปมากขึ้นทั่วโลก คอนเสิร์ตถูกยกเลิก งานแสดงสินค้าถูกยกเลิก โตเกียวมาราธอนยกเลิก (สำหรับนักวิ่งทั่วไป) โอลิมปิกก็ยังลุ้นๆ อยู่ การชุมนุมทางการเมืองในฮ่องกงก็หายไป ตัวเลขความเสียหายน่าจะค่อยๆ เปิดเผยออกมาให้เห็น ตัวอย่างเริ่มมีให้เห็นแล้ว เช่น ดัชนี PMI ภาคการผลิตของจีนร่วงสู่ระดับต่ำสุดที่ 35.7 จุด ต่ำกว่าในช่วงวิกฤติ “แฮมเบอร์เกอร์” เสียอีก หรือตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ผ่านเข้ามาทางสนามบินสุวรรณภูมิก็ลดลงถึง 45%YoY ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เป็นต้น

เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกน่าจะติดลบแน่ๆ เพราะเราหันไปพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนค่อนข้างมากมาแล้วซักพัก ขณะที่ไตรมาสสองยังอาจจะลุ่มๆ ดอนๆ อย่างไรก็ตาม ประเด็น “ลากยาว” เป็นเรื่องที่ติดตาม หากสถานการณ์ยาวนานออกไปมาก ผลกระทบต่อภาพเศรษฐกิจก็จะยิ่งสูงขึ้น และความสัมพันธ์อาจจะไม่ใช่เส้นตรงด้วย แต่ผลเสียต่อเศรษฐกิจอาจจะมีอัตราเร่งด้วย

เมื่อเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจไม่หมุนตามปรกติ มาตรการช่วยเหลือจึงมีความจำเป็นมากขึ้น ที่ผ่านมา กนง. มีการปรับดอกเบี้ยนโยบายลงไปแล้วครั้งหนึ่งในการประชุมวันที่ 5 ก.พ. ที่ผ่านมา แต่สถานการณ์ที่แพร่กระจายไปยังประเทศอื่นและแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอลง ทำให้เรามองว่า กนง. อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกซักครั้งในปีนี้ ส่วนมาตรการอื่นๆ เช่น การให้สินเชื่อ การยืดหนี้ ก็เริ่มมีออกมาให้เห็น ขณะที่ในต่างประเทศ จากที่คนส่วนใหญ่คิดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยตลอดปีนี้ กลายเป็นตอนนี้นักวิเคราะห์ก็คาดว่าเฟดจะต้องลดดอกเบี้ยลงถึง 3 ครั้งในปีนี้เลยทีเดียว

นโยบายการคลังก็จำเป็นด้วย และอาจจะมีประสิทธิภาพมากกว่านโยบายการเงินเสียด้วยซ้ำในช่วงนี้ แม้ว่าหากดูทั้งปี อัตราการเบิกจ่ายของไทยคงจะต่ำกว่าในปีอื่นๆ อยู่มากจากความล่าช้าของงบประมาณ ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปแล้ว การเบิกจ่ายงบประจำทำได้เพียง 20% ของวงเงินงบประมาณในไตรมาสแรกของปีงบประมาณ (ไตรมาส 4 ปีปฏิทิน) ขณะที่การเบิกจ่ายงบลงทุนทำได้เพียง 4% เท่านั้น แต่ข่าวดีคือหลังจากนี้จะมีเม็ดเงินมหาศาลมาให้พร้อมใช้ ทั้งเม็ดเงินตามปรกติและเม็ดเงินที่ควรจะใช้ก่อนหน้านี้แต่ไม่ได้ใช้ จึงอยู่ที่ความสามารถของรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐที่จะ “เข็น” เม็ดเงินเหล่านั้นออกมาสู่เศรษฐกิจได้มากน้อยเพียงใด

สำหรับด้านการลงทุน ตลาดยังน่าจะมีความผันผวนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง อาจจะบวกแรงหรือลบแรงก็ได้ในระยะสั้นๆ นี้ จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับไวรัสที่อยู่ในระดับสูง แต่หากนักลงทุนที่มีมุมมองระยะยาวและเชื่อว่าสถานการณ์ไวรัสสุดท้ายก็จะผ่านไป การที่สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงขนาดนี้ ก็อาจเปิดโอกาสให้เข้า “ทยอยสะสม” ได้ สุดท้ายนี้ ก็ต้องขอขอบคุณและเอาใจช่วยบุคลากรทางด้านสาธารณสุขทุกท่านนะครับ สถานการณ์ในประเทศไทยถือว่ายังดีกว่าหลายประเทศอื่นอยู่มาก แล้วก็อย่าลืมดูแลรักษาตัวเองด้วยนะครับ #กินร้อนช้อนกลางล้างมือ

ข่าวล่าสุด

'นิวยอร์ก' คุมโซเชียล บังคับขึ้นคำเตือนอันตรายต่อสุขภาพจิตเยาวชน