4 สัญญาณเตือน ตลาดหุ้นปรับฐาน
โดย...คมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้
โดย...คมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้
ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นในปี 2561 น่าจะมีการปรับเพิ่มขึ้นจำกัด เนื่องจากมูลค่าที่ค่อนข้างแพง และตลาดน่าจะมีความผันผวนเพิ่มขึ้น หลังธนาคารกลางทั่วโลกทยอยลดการอัดฉีดสภาพคล่องและเริ่มใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น ในขณะที่ความเสี่ยงที่จะเกิดการปรับฐานของตลาดน่าจะเกิดขึ้นจากการฟื้นตัวของเงินเฟ้อที่เร็วกว่าคาด ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยในตลาดกลับมาเพิ่มขึ้นเร็ว และส่งผลต่อเนื่องไปกดดันระดับ มูลค่าที่ปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูงท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
นอกจากนั้นตลาดยังมีปัจจัยกดดันจากความเสี่ยงทางการเมืองอยู่ตลอดทั้งปี เช่น การเลือกตั้งในอิตาลีในเดือน มี.ค. และการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในเดือน พ.ย. และความเสี่ยงที่สำคัญอีกประการที่ต้องจับตา ได้แก่ นโยบายเศรษฐกิจของจีน ซึ่งน่าจะมีแนวโน้มเข้มงวดขึ้นในปี 2561 ซึ่งอาจส่งผลกดดันต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกตามไปด้วย
ด้วยปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมาข้างต้น แนะนำให้นักลงทุนจับตา 4 สัญญาณเตือนตลาดปรับฐาน ดังต่อไปนี้
ประการแรก อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้สหรัฐ อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวของสหรัฐจะตอบสนองต่อมุมมองเงินเฟ้อของตลาด ดังนั้นหากตลาดประเมินว่าเงินเฟ้อจะกลับมาเพิ่มขึ้นเร็ว และธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาด ก็จะส่งผลให้อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้สหรัฐตอบสนองด้วยการปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง ประเมินว่าหากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ของสหรัฐ ปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่าระดับ 2.5% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 3 ปี (ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 3 ปี 2557 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันเริ่มลดลง และส่งผลให้เงินเฟ้อลงมาทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ) ตลาดหุ้นอาจถูกกดดันให้ปรับฐาน
ประการที่สอง Yield Curve ของสหรัฐ ในทางกลับกัน อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้สหรัฐ ระยะยาวหากทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเกินไป สะท้อนว่าตลาดไม่มั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะยาว โดย Yield Curve ที่มีลักษณะ Invert (อัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะสั้นสูงกว่าระยะยาว) ชี้ว่าตลาดประเมินว่าเศรษฐกิจมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย และอาจส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นได้เช่นกัน ในปัจจุบันอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาว (10 ปี) สูงกว่าระยะสั้น (2 ปี) อยู่ราว 50-60bps ซึ่งหากเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีกเกินกว่า 2 ครั้ง และอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ระยะยาวยังไม่ขยับขึ้นตาม ก็จะทำให้ Yield Curve เข้าสู่ภาวะ Invert
ประการที่สาม High-Yield Credit Spread ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Option-Adjusted Spread : OAS) ระหว่างหุ้นกู้ที่มีอันดับความน่าเชื่อถือต่ำ (Junk Bond หรือ High Yield Bond) กับพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ที่มีฐานะการเงินอ่อนแอปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปีที่ 3.4% ในช่วงปลายเดือน ต.ค. ซึ่งสะท้อนว่าตลาดมีความเชื่อมั่นว่าสภาพคล่องที่ล้นเหลือและเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้
แต่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้เริ่มปรับตัวขึ้นในเดือน พ.ย. ซึ่งหากส่วนต่างดอกเบี้ยดังกล่าวยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่องก็น่าจะส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นต่อไป
ประการที่สี่ ดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคารของจีน ดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่างธนาคาร (Money Market Rate) ของจีน ชี้ถึงความตึงตัวของสภาพคล่อง และความเข้มงวดของนโยบายการเงินของจีน โดยหลังจากการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือน ต.ค.อัตราดอกเบี้ย Shibor ระยะ 3 เดือนได้ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องมาเท่ากับระดับสูงสุดในปีนี้ในช่วงเดือน มิ.ย. เราประเมินว่าหากดอกเบี้ย Shibor ปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ ก็อาจส่งผลให้เศรษฐกิจในไตรมาสแรกชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด และส่งผลกดดันต่อตลาดหุ้นทั่วโลก
ด้วยมูลค่าที่แพงและปัจจัยเสี่ยงที่มีเพิ่มมากขึ้น คาดว่าตลาดจะมีความผันผวนมากขึ้นในปีหน้า แนะนำให้นักลงทุนจับตา 4 สัญญาณดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น และพิจารณาขายทำกำไรในตลาดหุ้นหากสัญญาณดังกล่าวสะท้อนความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ


