posttoday

อย่าให้คลุมเครือ

07 ธันวาคม 2560

ต้องบอกเลยว่าวินาทีนี้คงไม่มีใครเหมาะสมกับการรับรางวัลผู้ชายร้อนแรงแห่งปี 2016

โดย...ทองพระราม

ต้องบอกเลยว่าวินาทีนี้คงไม่มีใครเหมาะสมกับการรับรางวัลผู้ชายร้อนแรงแห่งปี 2016 ไปกว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม

เพราะตลอดระยะเวลาช่วงให้หลังที่ผ่านมาก่อนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เรื่องราวของท่านรองนายกฯ ดูจะมีผลงานโดดเด่นออกมาเชยชมอยู่แทบไม่ขาดสาย

เอาตั้งแต่ที่จำกันได้เมื่อไม่นานมานี้กับการให้สัมภาษณ์ต่อกรณีการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 และจากคำพูดดังกล่าวที่เปรยออกมา

ทำให้รองนายกฯ ประวิตร ต้องออกมาขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เนื่องด้วยถ้อยคำที่เอ่ยวาจาออกมานั้นไปสร้างผลกระทบต่อความรู้สึกของครอบครัวผู้เสียชีวิตอย่างมาก

แต่จากนั้นไม่นานก็มีเรื่องให้ติดตามกันอีกระลอก หลังมีชาวเน็ตจับภาพนาฬิกาข้อมือของพล.อ.ประวิตร ระหว่างถ่ายภาพคณะรัฐมนตรีชุดที่ 5 ณ ทำเนียบรัฐบาล

โดยนาฬิกาที่ว่านี้เป็นของสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์ ยี่ห้อ "Richard Mille" รุ่น WG 503.06.91 ซึ่งใช้วัสดุเป็นทองคำขาว มีราคาสูงถึง 242,000 ยูโร หรือประมาณ 10 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังรวมไปถึงแหวนเพชรเม็ดโต ต่อมาบรรดากระจอกข่าวได้สืบค้นข้อมูลการแจ้งบัญชีทรัพย์สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.

ขณะที่ ป.ป.ช. โดย วรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ระบุว่า "หากมีการร้องขอให้ตรวจสอบ ก็จะพิจารณาไปตามกระบวนการ โดยต้องสืบทราบข้อเท็จจริงว่านาฬิกาหรูดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ซื้อก่อนเข้าดำรงตำแหน่ง

และไม่ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช.ตอนเข้ารับตำแหน่งจริงหรือไม่ หากพบว่าซื้อในระหว่างดำรงตำแหน่ง การแจ้งต่อ ป.ป.ช.จะต้องแจ้งเมื่อพ้นจากตำแหน่งแล้ว"

อย่างไรก็ดี ท่าน พล.อ.ประวิตร ภายหลังเกิดเรื่องดังกล่าวก็พร้อมชี้แจงต่อ ป.ป.ช.ถึงที่มาที่ไปของนาฬิกาหรูเรือนนี้ รวมทั้งยืนยันไม่เคยทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่การงาน

ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของหน่วยงานเกี่ยวข้องก็คือ ป.ป.ช. ในการทำหน้าที่ตรวจสอบค้นหาความจริงออกมาให้สังคมได้คลายความสงสัยต่อประเด็นดังกล่าวที่เป็นกระแสอยู่ขณะนี้

ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือว่าสำคัญท่ามกลางนโยบายการปฏิรูปประเทศของท่านนายกฯ ที่ต้องการขับเคลื่อนให้สังคมมุ่งสู่ทิศทางอันดีงาม โดยเฉพาะความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และตรวจสอบได้

หากเรื่องนี้ปล่อยทิ้งไว้นานจนกลายเป็นประเด็นคาราคาซัง และเกิดความเคลือบแคลงช่วงท้าย นั้นไม่เป็นผลดีต่อตัวรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแน่แท้อย่างไร้ข้อสงสัย

เพราะยังไม่นับรวมกับหลายเรื่องก่อนหน้านี้ของรัฐบาล แม้จะมีผลตรวจสอบออกมา แต่ก็กลับยังมีคำถามคาใจจากหลายภาคส่วนของสังคมไทยว่าใช่หรือไม่ จริงแท้แค่ไหน

ฉะนั้น เรื่องนี้ก็ถือว่ามีความจำเป็นต้องทำให้กระจ่างเหมือนหลายๆ เรื่องที่ผ่านมา เพื่อสร้างบรรทัดฐานแบบอย่างอันดีให้สังคมได้เห็นเป็นตัวอย่าง ตามที่นายกฯ เคยประกาศเป็นสัญญาประชาคมไว้ทุกครั้ง

เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นในตัวรัฐบาลต่อสายตาประชาชน เพราะหากปล่อยให้คลุมเครือก็คงไม่ต้องเดาตอนจบจะเป็นเช่นไร