อีก 1,000 ปีก็ไม่เจริญ
กับรถเมล์ไทยยุค 4.0 ที่ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอุตส่าห์ครุ่นคิด หาวิธีการปฏิรูปรถขนส่งมวลชน เอาใจคนกรุง
โดย...วัยรุ่นเฟรง
มันจะอินเตอร์หน่อยๆ ....
กับรถเมล์ไทยยุค 4.0 ที่ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองอุตส่าห์ครุ่นคิด หาวิธีการปฏิรูปรถขนส่งมวลชน เอาใจคนกรุง ในวันที่ข่าวคราวรถเมล์ไทยมีให้เห็นตามหน้าสื่อต่อเนื่อง
รอบนี้ กรมการขนส่งทางบกงัดไอเดียปฏิรูปเส้นทางเดินรถเป็นระบบ 269 เส้นทาง พร้อมเปลี่ยนชื่อเส้นทางใหม่ นำอักษรภาษาอังกฤษมาผสมตัวเลข
ด้วยเหตุผลให้การกำกับดูแลการเดินรถเมล์มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ไม่แปลกที่ฟีดแบ็กสะท้อนกลับมา เสียงบ่นจะมากกว่าเสียงชื่นชม โดยเฉพาะกับประเด็นที่สร้างความสับสน วุ่นวาย มากกว่าจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้านตาดำๆ ที่เป็นผู้รับผลของการเปลี่ยนแปลง
พิจารณาตามเหตุผลรายละเอียด ประเด็นแรก การจัดกลุ่มรถเมล์ใหม่จะแบ่งเป็น 4 กลุ่มตามสีของเส้นทาง จากเดิมที่มี 8 กลุ่มตามเขตการเดินรถทั้ง 8 เขต เพื่อให้สะดวกกับการบริหารจัดการ ก็พอจะฟังได้
ยิ่งหากอธิบายด้วยว่า การลด 8 เขต เหลือ 4 กลุ่มให้รถวิ่งตามโซนใครโซนมันรถจะได้ไม่ติด ไม่ต้องวิ่งข้ามโซน ซึ่งจะเห็นว่าเส้นทางใหม่มี 269 เส้นทาง ซึ่งมากขึ้นกว่าเดิม จากเฉลี่ย 31 กม. เหลือเพียง 28 กม.มองด้วยใจเป็นธรรมก็พอจะฟังขึ้นกับเหตุผลแบบนี้
ส่วนสีสัน เรื่องแบ่ง 4 สี สายสีเขียว ใช้อักษรย่อตัว G ประกอบด้วยเขตการเดินรถที่ 1 และ 2 เดิม สีแดง ใช้อักษรย่อตัว R ประกอบด้วยเขตการเดินรถที่ 3 และ 4 เดิม สีเหลือง ใช้อักษรย่อตัว G ประกอบด้วยเขตการเดินรถที่ 5 และ 6 เดิม และสีน้ำเงิน ใช้อักษรย่อตัว B ซึ่งประกอบด้วยเขตการเดินรถ 7 และ 8 เดิม
มุมนี้ก็พอไปวัดไปวากล้อมแกล้มยอมรับได้ คล้ายๆ รถไฟฟ้าแบ่งเป็นสีๆ ถ้าจัดดีๆ ก็มีประโยชน์
แต่ที่ชาวบ้านร้านตลาดที่เป็นคนใช้บริการตัวจริงเสียงจริงออกมาโวยวายคือเรื่อง นำอักษรภาษาอังกฤษมาผสมกับตัวเลขเป็นสายใหม่
ลำพังแค่สายเดิมๆ ที่มีก็จำกันไม่หวาดไม่ไหวอยู่แล้ว ไหนต้องมาเพิ่มตัวอักษรหน้าหลังให้เรียกยาก จำยาก บอกทางก็ยาก อาจสร้างปัญหามากกว่าระบบตัวเลขเดิมๆ
ยิ่งหากคนที่เคยใช้บริการรถเมล์แบบตัวจริงเสียงจริงย่อมต้องรู้ว่ารถเมล์เมืองไทยมันมีทั้งสายเสริม สายวนซ้าย สายวนขวา มากกว่าตัวเลขดิบๆ อย่างเดียว
สกิลการขึ้นรถเมล์เมืองไทยจึงไม่ใช่แค่มองสายรถเพียงอย่างเดียวจบ แต่ต้องดูข้างรถ ป้ายเสริมหน้ารถ
อีกทั้งยังมีรถที่ไม่ใช่ของ ขสมก. แต่เป็นรถเสริม รถร่วม รถเอกชน ที่มีลักษณะแตกต่างกันไป
ปัญหาคือถ้ามัวแต่จดๆ จ้องๆ คอยส่องว่ารถเมล์สายตรงหน้าเป็นสายอะไรกว่าจะดูจบครบถ้วนพี่โชเฟอร์ก็เหยียบมิดหนีไปแล้ว
น่าเสียดายที่เห็นทางผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองใช้โอกาสนี้มาปฏิรูปรถเมล์ไปอย่างเสียของ อย่าลืมว่าปัญหาหลักที่คนอยากให้เปลี่ยนมากที่สุดไม่ใช่สายรถเมล์ แต่เป็นเรื่อง ความปลอดภัย วินัย มารยาท การขับขี่ สภาพรถยนต์ และจำนวนรถ ที่กลับไม่เห็นพูดถึงว่าจะปรับเปลี่ยนอย่างไร
ฟังจบแล้วก็เลยนึกถึงข้อความดารานักร้องเคยทวีตระบายความหงุดหงิดที่รอรถเมล์นานๆ