การจัดสรรเงินลงทุนแบบคำนึงถึงความเสี่ยง
โดย...บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย
โดย...บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย
หลังจากที่บทความก่อนหน้าได้พูดถึงแนวทางการจัดสรรเงินลงทุน ซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุเป้าหมายการลงทุนระยะยาวกันไปแล้ว มาฉบับนี้จะขอแนะนำอีกแนวคิดของการจัดสรรเงินลงทุนซึ่งมีการคำนึงถึงความเสี่ยง หรือที่เรียกกันว่า Risk-Based Asset Allocation กันบ้าง
แม้จากการศึกษาข้อมูลในอดีตจะพบว่าปัจจัยที่มีผลกระทบต่อผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนกว่า 90% มาจากการจัดสรรเงินลงทุน ในขณะที่ปัจจัยอื่นๆ นั้นมีผลค่อนข้างน้อย ไม่ว่าจะเป็นการจับจังหวะการลงทุน หรือการคัดเลือกหลักทรัพย์ แต่โดยทั่วไปแล้วการจัดสรรเงินลงทุนแบบดั้งเดิม (Traditional Asset Allocation) ซึ่งเป็นการจัดสรรเงินลงทุนในหุ้น และตราสารหนี้ ยังมีข้อจำกัดอยู่บางประการ นั่นคือ ความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงจากการลงทุนในหุ้นเป็นหลัก เนื่องจากมักมีการพึ่งพาสินทรัพย์ประเภทหุ้นมากเกินไป
ตัวอย่างเช่น หากมีพอร์ตการลงทุนที่มีสัดส่วนการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้เป็น 30:70 จะพบได้ว่าสัดส่วนเพียง 30% ของหุ้นนั้นจะทำให้ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุนนั้นมีความเสี่ยงจากหุ้นสูงถึง 80-90% ซึ่งโดยมากแล้วผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตมักจะเป็นไปทิศทางเดียวกับผลตอบแทนของหุ้นที่ลงทุน ทำให้การจัดสรรเงินลงทุนแบบดั้งเดิมนั้นมีข้อจำกัดและควรลงทุนเป็นระยะเวลาที่ยาวตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป เพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากการลงทุนในระยะเวลาที่สั้นนั้นจะมีความเสี่ยงจากความผันผวนของพอร์ตการลงทุน จึงอาจทำให้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามเป้าหมายได้
เมื่อพบข้อเสียดังกล่าว นักการเงินจึงได้พัฒนาแนวคิดใหม่ในการจัดสรรเงินลงทุนตามแนวทางที่เรียกว่า การจัดสรรเงินลงทุนแบบคำนึงถึงความเสี่ยง (Risk-Based Asset Allocation) โดยวิธีการจัดสรรเงินลงทุนแบบนี้จะไม่มีการกำหนดสัดส่วน “ที่เหมาะสม” สำหรับแต่ละสินทรัพย์ แต่จะมีการกำหนดระดับความเสี่ยงเป้าหมายของสินทรัพย์แต่ละชนิดที่ลงทุนไว้ แล้วปรับสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์แต่ละชนิดให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่วางไว้ กล่าวง่ายๆ ก็คือสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงจะมีน้ำหนักการลงทุนที่ต่ำ ส่วนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำจะมีน้ำหนักการลงทุนที่สูง ยกตัวอย่างเช่น หากกำหนดให้ความเสี่ยงเป้าหมายของตราสารทุน (ความเสี่ยงด้านตลาดของตราสารทุน) และตราสารหนี้ภาครัฐ (ความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย) มีสัดส่วนเป็น 50:50 และเพื่อจัดสรรเงินลงทุนให้ได้ความเสี่ยงตามเป้าหมายที่วางไว้ ทำให้ได้พอร์ตการลงทุนที่มีสัดส่วนลงทุนในตราสารทุน 10% และลงทุนในตราสารหนี้ 90%
ทั้งนี้ เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ความเสี่ยงของแต่ละตราสารเปลี่ยนไป เช่น ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากขึ้น อาจทำให้น้ำหนักการลงทุนในตราสารทุนซึ่งเดิมมีสัดส่วนอยู่ 10% มีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และส่งผลทำให้ความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในตราสารทุนมีมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 50% จึงจำเป็นต้องมีการปรับลดน้ำหนักการลงทุนในตราสารทุนลง เป็นต้น
การจัดสรรน้ำหนักการลงทุนแบบนี้ มีข้อดีหลักๆ คือ 1) ทำให้ประสิทธิภาพในการกระจายความเสี่ยงดีขึ้น เนื่องจากเป็นการจัดสรรน้ำหนักการลงทุนไปที่ความเสี่ยงของสินทรัพย์นั้นจริงๆ แทนที่จะกระจุกตัวอยู่ที่ตราสารที่มีความเสี่ยงสูงอย่างหุ้น 2) ทำให้มีความแม่นยำในการสร้างพอร์ตการลงทุนมากขึ้น เนื่องจากการจัดสรรน้ำหนักการลงทุนแบบนี้จะใช้สมมติฐานน้อย กล่าวคือจะใช้เพียงข้อมูลปัจจุบันของความเสี่ยงของตราสารต่างๆ นำมาจัดสรรพอร์ตการลงทุน และ 3) จะทำให้ผลการดำเนินงานของพอร์ตการลงทุนมีความสม่ำเสมอมากขึ้น เนื่องจากสามารถควบคุมหรือปรับระดับความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตการลงทุนให้อยู่ในระดับที่ตั้งเป้าหมายได้อย่างสม่ำเสมอ จึงทำให้นักลงทุนสบายใจได้มากขึ้นกว่าการจัดสรรเงินลงทุนแบบทั่วไป
จากที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่าหัวใจของการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น ยังคงให้น้ำหนักและความสำคัญในเรื่องกระบวนการจัดสรรเงินลงทุนที่เหมาะสม เนื่องจากเป็นวิธีที่จะช่วยสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้แม้ในยามที่ตลาดผันผวน
คำเตือน : ผู้ลงทุนโปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน จัดทำ ณ วันที่ 25 ก.ค.2559


