posttoday

อารยะแบบทรงนักเรียน

02 มิถุนายน 2559

เข้าสู่ช่วงเปิดเทอมใหม่ คำถามที่ยังวนเวียนในหมู่นักเรียนทุกครั้งก็คือ มีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตัดผม “ขาวสามด้าน” หรือที่เรียกกันว่า “ทรงนักเรียน”

โดย...คุณบ๊งเบ๊ง [email protected]

เข้าสู่ช่วงเปิดเทอมใหม่ คำถามที่ยังวนเวียนในหมู่นักเรียนทุกครั้งก็คือ มีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องตัดผม “ขาวสามด้าน” หรือที่เรียกกันว่า “ทรงนักเรียน” สำหรับเด็กประถมและเด็กมัธยมต้น 

เพราะเมื่อย่างก้าวเข้าไปโรงเรียนก็จะเจอกับครูฝ่ายปกครอง ที่ถือปัตตะเลียนยืนไถหัวให้นักเรียนจำนวนมาก เพื่อให้นักเรียนทุกคนมีทรงผมที่ถูกต้องโดย “เท่าเทียมกัน”

ทั้งที่หากให้ตัด “รองทรง” ก็เท่าเทียมได้ หรือต่อให้ใครจะตัดแต่งผมมาอวดกัน ก็ไม่เห็นจะเป็นประเด็นใหญ่ที่ครูจะต้องไปสนใจ

คำถามคือ ทำไมระบบการศึกษาไทยถึงได้ “หมกมุ่น” กับหัวกบาลนักเรียนมากนัก ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหลักสูตรการเรียนการสอนเลย

คำตอบที่เรามักจะได้รับจากอาจารย์ รวมถึงผู้หลักผู้ใหญ่จำนวนมากก็คือ ดีแล้ว เป็นระเบียบดี เป็นการปลูกฝัง “วินัย” ในเด็ก ไม่เห็นจำเป็นต้องไปเปลี่ยนกฎอะไร

กระนั้นเอง “วินัย” แบบขาวสามด้าน ก็เป็นวินัยแบบไทยสไตล์ กล่าวคือ ไม่มีชาติไหนที่เคร่งเรื่องวินัยแบบนี้ แม้แต่ชาติที่ผู้คนได้รับยกย่องเรื่องความเป็นระเบียบเรียบร้อย ก็ไม่เห็นจะมีใครต้องตัดผมเกรียนกันแบบนี้

อันที่จริงประวัติศาสตร์ว่าด้วยทรงนักเรียนชายนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่สมัย จอมพล ป.พิบูลสงคราม โดยเอาแบบอย่างมาจากนักเรียนญี่ปุ่นสมัยสงครามโลก นอกจากนี้ยังมีเหตุมาจาก “เหา”

อย่างไรก็แล้วแต่ ปี 2518 แม้กระทรวงศึกษาฯ จะผ่อนปรนให้นักเรียนชายตัดรองทรงได้ ขณะที่นักเรียนหญิงจะไว้ผมยาวเกินต้นคอก็ได้ แต่ในปัจจุบันกลับพบว่าโรงเรียนส่วนใหญ่ยังคงยึดกฎเดิม ซึ่งก็น่าสนใจว่า ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว โรงเรียนรัฐทั้งหมดยังเคร่งครัดกับกฎเดิมอยู่

คำตอบน่าจะหนีไม่พ้น วัฒนธรรมแบบ “ทหาร” ที่ซึมซับไปในระบบการศึกษาไทยอย่างไม่รู้ตัว นั่นคือ ไม่ว่าระเบียบโรงเรียนจะเป็นอย่างไร สิ่งนั้นย่อมเป็นกฎ สิ่งนั้นย่อมศักดิ์สิทธิ์ ห้ามถาม ห้ามสงสัย ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเด็กที่ “ว่านอนสอนง่าย”

เช่นเดียวกับทำไมต้องทำพิธีหน้าเสาธงกลางแดด เช่นเดียวกับทำไมผู้หญิงต้องใช้โบว์สีเข้ม เช่นเดียวกับทำไมต้องเคร่งครัดเรื่องสีและความยาวของ “ถุงเท้า”

การสร้างความศักดิ์สิทธิ์ผ่านกฎหยุมหยิมเหล่านี้ จึงไม่เกี่ยวอะไรกับระเบียบวินัย เพราะถ้าระเบียบทรงนักเรียนสามารถสร้างวินัยได้ ประชากรไทยคงมีวินัยมากที่สุดในโลก

และหากทำให้การศึกษาก้าวหน้าได้จริง เด็กไทยคงไม่มีผลการสอบที่ต่ำลงเรื่อยๆ กระทั่งอยู่ในระดับรั้งท้ายของอาเซียนด้วยซ้ำ

การให้ความสำคัญกับทรงผม รวมถึงการสร้าง “ความศักดิ์สิทธิ์” ให้กับกฎเหล่านี้ จึงเป็นตัวอย่างที่ดีของความล้มเหลวในระบบการศึกษาไทย ที่มุ่งเน้นให้ทำตาม “ผู้ใหญ่” และกฎนั้นย่อมถูกเสมอ แม้ว่าที่สุดแล้ว กฎจะไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลง หรือไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลยก็ตาม

ข่าวล่าสุด

เสนอพรรคการเมือง 3 ทางออก ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ต้อง 'ห้ามซื้อขาย' เด็ดขาด