'3 ข้อต้องรู้ก่อนลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว'
โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน)
ยุคนี้กระแสการทำธุรกิจส่วนตัวแรงมาก ..Steve Jobs กล่าวว่าอย่ามัวเสียเวลาทำตามความฝันของคนอื่น !!
โอโหว่าแล้วก็เขียนจดหมายเดินไปที่โต๊ะของผู้จัดการแล้ววางโป๊ะ !! 'ลาออกครับ'
ผู้จัดการถามว่า : 'เฮ้ย!! แล้วจะไปทำมาหากินอะไรเดี๋ยวก็อดตายหรอก'
ตัวเรา : 'ผมเชื่อพี่ Steve ..คนเราจะมานั่งทำฝันของคนอื่นทำไม ?'
ผู้จัดการ : 'ฮึม !! โอเคกรูเซ็นต์อนุมัติเลยละกัน ..อะนี่อนุมัติโชคดีนะสมชาย !!'
(เฮ้ย!! ทำไมอิสรภาพมันทำไมง่ายถึงเพียงนี้จากที่ต้องทนหัวหน้าดุด่าทนเพื่อนร่วมงานที่แก่งแย่งเอาหน้า ...จากนี้ไปผมจะมีอิสรภาพที่จะทำอะไรก็ได้จะไปตามความฝันของฉันแต่ปัญหามีอยู่อย่างนึงคือไม่มีเงินว่ะ ..เอ่อกรูชักหิวแล้วเดี๋ยวเดินลงไปซื้อ Starbucks ลองท้องหน่อยบ่ายนี้หนึ่งแถมหนึ่ง)
ผมว่าอารมณ์มันประมาณนี้นะใจนึงก็อยากมีอิสระอีกใจก็กลัวไม่มีกิน ...เอางี้ลองเอา 3 ข้อต้องรู้ไปลองใช้ดู
3 ข้อต้องรู้ก่อนลาออกมาทำธุรกิจส่วนตัว
1. 'รู้หรือไม่ว่าคุณสามารถสร้าง Passive Income และมีอิสรภาพทางการเงินตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง' ...อันนี้ประสบการณ์ตรงของผู้เขียนผมเริ่มจากเป็นผู้ประกอบการออกผจญภัยสู่โลกกว้างมีอิสระอย่างเสรีจนวันนี้ผมกลายเป็นลูกจ้างเรียบร้อย ..ใช่!! มันอาจจะต่างจากคนอื่นๆที่เริ่มจากลูกจ้างแล้วค่อยออกไปเป็นผู้ประกอบการ
ผมจากผู้ประกอบการสู่ลูกจ้าง ..แต่เดี๋ยว !! ผมว่าตรงนั้นเป็นสิ่งที่หลายๆคนหลงประเด็นเพราะจริงๆปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่าเป็นเจ้าของธุรกิจหรือเป็นลูกจ้างผมว่าประเด็นคือมีเงินใช้เพียงพอไหมและมี Passive Income หรือเปล่า
ทั้งนายจ้างและลูกจ้างมีทั้งพวกรวยและก็มีทั้งเดือนชนเดือน ..นายจ้างแบบทำงานแค่มีเงินจ่ายลูกน้องแบบเดือนชนเดือนน้ำตาไหลนองหน้านี่ก็เยอะมากๆยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้
เอางี้ผมในฐานะลูกจ้างที่มี Passive Income มากกว่ารายจ่ายขั้นต่ำต่อเดือนเรียบร้อยนั่นแปลว่าตัวผมเองแม้จะยังเป็นลูกจ้างแต่ผมมีอิสรภาพทางการเงินเบื้องต้นจากการลงทุนเรียบร้อยแม้ว่าวันนี้ผมเลิกเป็นลูกจ้างก็ยังมีเงินเข้ามาไม่อดตาย ...ผมแนะนำว่าลองเริ่มศึกษาเรื่อง 'ออมในหุ้นและการลงทุนตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง' ...ในสิบปีเห็นผลแน่นอน
2. 'รู้หรือไม่ว่าคุณไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ประกอบการถึงจะมีความสุข ..ลูกจ้างก็มีความสุขในงานได้' ...อันนี้ประสบการณ์ตรงเช่นกันสมัยผมเป็นเจ้าของร้านอาหารผมโคตรไม่มีความสุขเลยเพราะผมเกลียดการทำอาหารแต่ทำเพราะตอนนั้นร้านอาหารมันเป็นธุรกิจที่รวยได้ในเวลาที่ผมเรียนที่ออสเตรเลีย
แต่วันนี้ตรงกันข้ามผมเป็นลูกจ้างทำอาชีพที่ปรึกษาการลงทุน ..งานสอนและให้ความรู้ลูกค้าที่บัวหลวงตั้งขึ้นมาให้ผมทำ ..ชอบครับ 'ได้ให้ความรู้คนอื่นแล้วชีวิตเขาดีขึ้นและผมได้เงินในการทำสิ่งนี้' ชอบกว่าตอนยืนผัดข้าวเยอะเลย
จะบอกว่าเป็นลูกจ้างก็ทำสิ่งที่รักได้ครับแต่มันมีขั้นตอนมีการวางแผนที่จะเปลี่ยนจากงานที่ไม่รักเป็นงานที่รัก (งานแรกในฐานะลูกจ้างคงไม่ง่ายที่ได้งานที่รักแต่เราวางแผนเพื่อก้าวสู่งานที่รักได้ครับ)
3. 'รู้หรือไม่ว่าคำว่าลูกจ้างกับนายจ้างมันกำลังไม่มีเส้นแบ่งที่ชัดเจนอีกต่อไป' ...ลูกจ้างเสียเปรียบเจ้าของเอาเปรียบ ...เออวันนี้คุณเดินเข้าตลาดหุ้นแล้วซื้อธุรกิจชั้นนำของประเทศได้เกือบทุกตัวอยากเป็นเจ้าของธุรกิจไหนซื้อเลยครับ 'ยิ่งซื้อตอนธุรกิจนั้นมีข่าวร้ายยิ่งได้หุ้นราคาถูก'
พอผมเข้าใจหลักการข้อนี้ผมฟินเลย !! ...วันนี้ผมเป็นลูกจ้างแต่พอร์ตออมในหุ้นผมเป็นเจ้าของธุรกิจชั้นนำของประเทศบางตัวระดับโลกแถมผมขี่คอเจ้าของซื้อคือซื้อตอนราคาถูก ...แล้วที่แจ๋วกว่านั้นคือผมแทบไม่คิดจะขายหุ้นเหล่านี้ที่ผมได้มาในราคาถูกเลยแม้ว่าราคาจะขึ้นเยอะ
เพราะมันทำให้ผมได้สิทธิเหมือนเจ้าสัวต่างๆผมได้สิทธิในการเป็นเจ้าของบริษัทชั้นนำเหล่านั้นผมได้เงินปันผลทุกปีเพราะหุ้นเหล่านี้มันมีมืออาชีพทำงานให้มีเจ้าสัวต่างๆทำงานหนักเพื่อผมและสุดท้ายผมก็สามารถยกหุ้นเหล่านี้ไปให้ลูกหลานผมถือต่อไป
'ลูกหลานที่จะได้พอร์ตออมในหุ้นต่อไปเป็นมรดก'
นี่คือ 'ลูกจ้างอิสระ' ผมคือ Freedom Slave ..ผมว่ามันก็เท่ห์ไม่เหมือนใครดีนะ ..55
ที่เขียนเรื่อง 3 ข้อนี้ไม่ได้จะสรุปว่าเป็นลูกจ้างหรือนายจ้างดี ...เป็นอะไรก็ดีได้หากเราเข้าใจแนวคิด'ดีที่สุดในจุดที่ยืน' ..เปลี่ยนจุดที่ยืนให้เหมาะกับตัวเราที่สุดผมว่านี่แหละดีที่สุด !!
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint


