posttoday

ล้างพวกโสโครก

08 ธันวาคม 2556

การแสวงหาความร่วมมือต้องเริ่มจากเจรจา แต่พฤติกรรมผู้มีอำนาจสำแดงออกมา ชี้ชัดว่า กำลังยกระดับสู่การเผชิญหน้าเป็นการปิดประตูพาบ้านเมืองไปสู่ความวุ่นวาย

โดย...อสนีบาต

เมื่อผู้บริหารบ้านเมืองไม่อยู่ในร่องรอย ไร้สามัญสำนึก !

ประชาชนมอบความไว้วางใจให้บริหารประเทศเพื่อโยชน์สุขของสังคมโดยรวมกับเอาเวลาเอื้อประโยชน์เพื่อพวกพ้องวงศ์วาน ออกกม.นิรโทษโกงให้คนโกงบ้านกินเมือง  กอดคอออกมาประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ มีการรวมตัวฟ้องร้องตุลาการหมิ่นเบื้องสูง

แต่มาวันนี้ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่มีสมุนเพื่อไทยผู้ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ก็ขอคืนร่างรัฐธรรมนูญกลับมาจากสำนักพระราชวัง  ด้วยการออกมายอมรับต่อสาธารณะเมื่อวันที่ 8 ธันวาคมว่า  นายกฯชื่อยิ่งลักษณ์ได้ขอพระราชทานอภัยโทษ

ทั้งที่ยิ่งลักษณ์และกลุ่มคนเหล่านี้มิใช่หรือ จ้องเล่นงานตุลาการโจมตีก้าวล่วงหมิ่นสถาบันแต่วันนี้ตนเองและคณะกลับขออภัยโทษเบื้องสูง  นี่มันอะไรกัน!!!!

อย่างที่หลายคนกล่าว ผู้ไม่ยอมรับอำนาจศาล ผู้ไม่ยึดถือเคารพกฎหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นกฎหมายสูงสุดก็ไม่ต่างกบฏเช่นกัน   

เมื่อการบริหารบ้านเมืองอย่างไม่เป็นไปตามครรลองคลองธรรม ย่อมแปลงสภาพเป็นฝ่ายอธรรมในสายตามวลหมู่ประชาชน

อย่าได้แปลกใจ ทำไมประชาชนถึงออกมาเดินขบวนมากขึ้น   จากวันที่ 24 พ.ย.ที่มีจำนวนล้นทะลักอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไหลยาวราชดำเนิน  สะพานพระปิ่นเกล้า  แต่วันที่ 9 ธันวาคม กลับมากขึ้นกว่าหลายเท่าตัว   คำตอบมีอยู่ในหัวใจประชาชนทุกคนอยู่แล้ว  เพราะต้องการขับไล่รัฐบาลเฮงซวยให้ออกไป ร่วมกันสร้างบ้านแปลงเมืองขจัดขบวนการโสโครกทางการเมืองด้วยพลังคนไทย

กว่าหนึ่งเดือน ของการชุมนุมของมวลมหาประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร แต่กระจายตัวไปต่างจังหวัด  มีการเรียกร้องให้มีการตั้งสภาประชาชน เพื่อการปฏิรูปการเมืองให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างแท้จริง

แต่ท่าทีรัฐบาลคงสาละวนอยู่กับการตั้งเวทีหาทางออกประเทศไทย  สถานการณ์บ้านเมืองจึงอยู่ในภาวะอึมครึม จะขับเคลื่อนไปซ้ายขวาหน้าหลังติดๆขัดๆ  กับสภาพรัฐบาลเป็ดง่อย ท่ามกลางวงล้อมกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาล และผู้ชุมนุมที่ออกมาแสดงพลังพิทักษ์รัฐบาล รอเวลาสัปประยุทธ์กันอีกยก

รัฐบาลที่ยังคิดว่ากุมกลไกอำนาจรัฐได้อยู่ ไม่เร่งตัดสินใจหาทางออกทางการเมือง  เอ้อระเหยลอยชายคิดว่าเดี๋ยวมวลชนก็อ่อนแรง ย่อยสลายไปเอง จึงนับเป็นการประเมินสถานการณ์ผิดพลาดซ้ำซาก  รังแต่จะทำให้ชาติบ้านเมืองเสียหายมากขึ้น

ใช่ว่าไม่มีทางออกคลี่คลายวิกฤติการณ์การเมือง แต่อยู่ที่ว่าจะพร้อมหาทางออก หรือยืนขวางทางออกกันแน่ เพราะไล่เรียงดูข้อเสนอของมวลมหาประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ให้มีการนำรัฐธรรมนูญหลายมาตรามาอ้างอิงสู่การตั้งสภาประชาชน ไม่ต่างกับสิทธิประชาชนสามารถจัดตั้งกลุ่ม องค์กร สหภาพ ได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 64

เช่นเดียวกับภาควิชาการภายใต้ที่ประชุมอธิการบดีทั่วประเทศ เสนอทางออกให้นายกรัฐมนตรี ยุบสภา และลาออก ตั้งรัฐบาลรักษาการที่เป็นกลาง ใช่ว่าจะคิดกันขึ้นลอยๆ แต่มีการพลิกรัฐธรรมนูญพิจารณากันถ้วนถี่สามารถทำได้  

แม้แต่จาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ผู้อ้างตนเป็นนักประชาธิปไตยสุดใจขาดดิ้น  ออกอาการแบ่งรับแบ่งสู้ว่าข้อเสนอของที่ประชุมอธิการบดีมีโอกาสเป็นไปได้ 

แพลมเบื้องหลังการถ่ายทำสักเล็กน้อย ช่วงที่ผ่านมาก่อนมีการประชุมอธิการบดีทั่วประเทศก่อนนำไปสู่แถลงการณ์ฉบับที่ 4  ฟากของสุเทพ  เทือกสุบรรณ  เลขาธิการ กปปส. ควงแขนนักวิชาการสองสามคนไปหารือกับคณะนักวิชาการกลุ่มใหญ่ ณ เซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง

กระซิบให้ทราบโดยทั่วกันหลายคนในนั้นล้วนมีบทบาทอยู่ในที่ประชุมอธิการบดีด้วย เมื่อการหารือเสร็จสิ้นการประชุมอธิการบดีก็ดำเนินต่อไปจนนำไปสู่แถลงการณ์ฉบับที่ 4   หากนำปรากฎการณ์เคลื่อนไหวมาต่อจิ๊กซอว์  พอจะเห็นแนวทางนำไปสู่การออกแบบสภาประชาชน มีโอกาสเป็นไปได้ และอยู่ในกรอบของรัฐธรรมนูญ

จริงอยู่อาจไม่ได้เป็นในลักษณะสุดโต่งตามที่สุเทพประกาศต่อสาธารณะ จนลิ่วล้อพรรคเพื่อไทยและแกนนำเสื้อแดงรับจ้าง ออกมาตั้งป้อมค้านมาตรา 7 ตะพรึดตะพรือ   เพราะถึงที่สุดก็จะออกไปในลักษณะยืดหยุ่นได้ ไม่มีฝ่ายใดได้ทั้งหมด

ณ สถานการณ์ขณะนี้ เหลือใครกันแน่ไม่พยายามหาทางออก คำตอบ คือ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และบริวาร   

การออกมาแถลงหน้าจอ ดิฉันยินดี ยุบสภา ลาออก หากเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน  ลากไปถึงการท้าทายอยากให้มีสภาประชาชนต้องผ่านการลงประชามติ   หรือกลับไปที่ข้อเสนอเดิมจะระดมนักวิชาการมาหารือ  โดยใช้เวลา 2-3 เดือนหรือครึ่งปี เพื่อหาทางออกประเทศไทย   

พอจะทำให้ทราบในเบื้องต้น นี่ไม่ใช่การแสวงหาทางออกการเมืองที่แท้จริง แต่เป็นการซื้อเวลาออกไปให้นานที่สุด

แม้แต่ การเปิดแผนใช้สื่อโทรทัศน์วิทยุของรัฐ   ให้แกนนำแดง ป่วนเมืองออกรายการฝ่ายเดียวปลุกระดมประชาชนชิงชังมวลชนที่ชุมนุม หรือท่าทีของ สุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ในฐานะผอ.ศอรส.  สั่งขึ้นบัญชีผู้สนับสนุนมวลชนเข้าข่ายสมคบกบฎ   พร้อมกับประกาศกร้าวยิ่งลักษณ์ไม่ต้องเจรจากับสุเทพอีกต่อไปเพราะเป็นการไปคุยกับกบฎ

ทั้งที่การแสวงหาความร่วมมือต้องเริ่มจากเจรจา แต่พฤติกรรมผู้มีอำนาจสำแดงออกมา ชี้ชัดว่า กำลังยกระดับสู่การเผชิญหน้าเป็นการปิดประตูพาบ้านเมืองไปสู่ความวุ่นวายไม่รู้จบ