ของแพงต้องกินรธน.
ไม่ได้ดั่งใจแต่ก็ต้องฝ่าฟันให้ถึงฝั่งฝันต่อความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ(รธน.) ของเหล่าส.ส.รับใช้นาย
โดย...อสนีบาต
…ไม่ได้ดั่งใจแต่ก็ต้องฝ่าฟันให้ถึงฝั่งฝันต่อความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ(รธน.) ของเหล่าส.ส.รับใช้นาย แสดงความหงุดหงิดไม่ใช่น้อยเมื่อเจอรายการขัดจังหวะของกรรมาธิการแก้ไขรธน.ในสัดส่วนประชาธิปัตย์และฟากวุฒิสภา ทำให้แผนการดันร่างแก้ไขรธน.เข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภาวาระ 2 เพื่อให้ทันก่อนปิดสมัยประชุมรัฐสภาในวันที่ 18 เม.ย. อาจไม่เป็นไปตามนั้น
…ความต้องการจากเสียงข้างน้อยอยากให้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เป็นไปด้วยความรอบคอบมากที่สุดถือเป็นเหตุผลน่ารับฟัง เพราะการออกแบบสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. เป็นด่านแรกก่อนมอบความไว้วางใจให้ว่าที่สสร. 99 คน ร่วมกันต่อเติมเสริมแต่งรัฐธรรมนูญภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่ประชาชนจับต้องได้ หรือแม้แต่เป็นฉบับที่กินได้ตามที่นักการเมืองมักพูดกันในยามที่จะฉีกของเก่าเอาของใหม่ดีกว่า...ประมาณนั้น
...แต่อีกด้าน ในเชิงเกมการเมืองชิงไหวชิงพริบก็ย่อมมองได้ เมื่อฝ่ายอยากแก้รธน.เห็นว่าการไม่ยอมรับข้อเสนอให้ขยายเวลาประชุมจากสัปดาห์ละ 2 วันออกไปเป็น 3-4 วัน เท่ากับพวกนี้ต้องการเตะถ่วงออกไปให้นานที่สุด ด้วยความหวังรอเวลาปลุกชนวนความขัดแย้งให้เกิดการสุกงอม
… อย่างว่า สภาพการเมืองที่กำลังอยู่ในร่องในรอย ครั้นจะต่อสู้ทางความคิดก็เกิดขึ้นในสภา ไม่ต้องออกมาเดินถนน อย่างการผ่านฉันทามติให้แก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นไปในลักษณะเสียงข้างมากลากไปก็ตาม มันก็เป็นไปตามครรลองระบอบประชาธิปไตย โดยกระบวนการตามขั้นต่อ เมื่อผ่านวาระ 1 เข้าสู่ขั้นกรรมาธิการ สมควรถกเถียงแสดงความเห็นภายใต้กรอบกติกาที่ประชุม พร้อมเปิดใจกว้างรับฟังมุมมองจากภายนอก เพื่อนำมาสู่การร่อนตะแกรงความคิดให้เกิด สสร.ชุดดีที่หนึ่งตามต้องการ สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาการตกผลึกพอสมควร
… อีกทั้งเมื่อมั่นใจวาระการทำงานรัฐบาลอยู่ยาว 4 ปี ด้วยจำนวนเสียงรัฐบาลมีเสถียรภาพแน่นปึ๊ก และนี่เพิ่งบริหารประเทศไปได้แค่ต้นทางช้างเผือก มีเวลาเหลือเฟือที่จะคิดการณ์ทำอะไรต่อมิอะไร จึงไม่มีเหตุผลใดเลยจะต้องร้อนรนถึงขั้นจะเป็นจะตายถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมันไม่ทันสมัยประชุมนี้
…เว้นเสียแต่ว่า ความต้องการทำคลอดรัฐธรรมนูญฉบับหน้ามืดตามัว มีสัญญาณส่งตรงจากนายใหญ่ว่ารอไม่ไหวอีกแล้ว พร้อมเสียงตำหนิ” พวกเอ็งมัวทำอะไรกันอยู่(ว่ะ) ” “ถ้าพวกเอ็งทำไม่ได้ดั่งใจก็อย่าเสนอหน้ามาต่อแถวรับตำแหน่ง” น่าจะเป็นประเด็นนี้มากกว่ากระมัง
…สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ ขนาดสถานการณ์ราคาสินค้าแพง น้ำมันพุ่ง ยังมีสื่อสารมวลชน นักวิชาการวงเล็บเย็นชาความรู้สึกประชาชน ภายใต้สังกัด “แถเทเลวิชั่น” แสดงภูมิปัญญาปราดเปรื่องด้วยการถ่ายทอดวาจาถึงประชาชนอย่าไปใส่ใจนักเลยเรื่องข้าวของแพง แต่ควรให้ความสนใจเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ความสำคัญการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 จะดีกว่า ทั้งที่ผลสำรวจโพลล์สถาบันอุดมศึกษาล่าสุด ระบุประชาชนส่วนใหญ่อยากให้รัฐบาลหันมาสนใจแก้ปัญหาของแพงเป็นอันดับแรก
หรือถ้าจะบอกว่า ปัญหาสินค้าราคาแพงเป็นเรื่องไร้สาระ ก็ควรตั้งคำถามเหมือนกัน เหตุใดรัฐบาลปูจ๋าถึงเรียกประชุมครม.นัดพิเศษ ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าแพง ถึงขั้นสั่งการให้ติดตามสถานการณ์ราคาสินค้า วัตถุดิบ จากต้นทางถึงราคาอาหารบริโภคปลายทาง แถมรณรงค์ให้หน่วยงานราชการช่วยกันประหยัดพลังงานให้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์
…เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมสะท้อนให้เห็นว่า ทั้งสื่อในคอนโทรล และนักวิชาการเลยล้ำอุดมการณ์ความถูกต้อง คิดอะไร
ต่างกลืนเลือดไม่ยอมรับความจริง
ได้แต่สื่อสารให้น้ำหนักวาระเอาใจนายช่วยนายต้องมาก่อนส่วนปัญหาข้าวยากหมากแพง ไม่ใช่วาระแห่งชาติสักกะหน่อยเดี๋ยวก็ดิ้นรนอยู่กันได้ ใครอยู่ไม่ได้ก็พอกพูนหนี้สินกันไป ขณะที่ภาวะการส่งออกก็มีรายงานตัวเลขถึงสถานการณ์ไม่สู้ดี มาเจอคำสั่งชลอน้ำเข้าจากต่างประเทศ ขณะที่การเมืองไทยเป็นจุดอ่อนเพราะมัวแต่หมกมุ่นจะหาทางช่วยนายอย่างไร ทำให้ไม่มีเวลาปรับยุทธศาสตร์แข่งขันการค้าการลงทุนต่างประเทศในภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน สถานการณ์ข้าวอินเดียราคาถูกออกมาตีตลาดแล้ว โครงการจำนำข้าวโดยรัฐบาลที่ราคาจำนำยังแพงกว่าราคาข้าวเพื่อนบ้าน สภาพเช่นนี้ชาวนาจะอยู่กันอย่างไร
สำคัญว่าบ้านนี้เมืองนี้กำลังอยู่ในภาวะทรงและรอการทรุดจากฝีมือนักการเมืองและพวกพลิกพลิ้วไม่รับความจริงเพื่อนำบทเรียนมาแก้ไขนั่นเอง มันจึงออกมาท่องคัมภีร์ "รอช้าไม่ได้อีกแล้วพี่น้อง การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด" คงต้องการให้เข้ากับคำเปรียบเปรย รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องกินได้กระมัง
… ทางที่ดีระหว่างจัดรายการให้ลืมๆปัญหาสินค้าแพงไปซะ น่าจะเอาพานรัฐธรรมนูญจำลองมาตั้งโต๊ะ แล้วแสดงวิธีกัดแทะ หั่นมาตรารัฐธรรมนูญยัดเข้าปากให้ดูเป็นขวัญตาบ้าง เผื่อหลายคนจะยอมรับ เออหว่ะหันมากินรัฐธรรมนูญดีกว่า
…ขนาดข้าวกระเพาไก่ จานละ 40 บาท มนุษย์เงินเดือนทำงานหาเช้ากินค่ำ ควักตังค์ออกจากกระเป๋าก็ใจหายที แต่คนเหล่านี้เขาอิ่มหมีพีมันในภัตตาคาร ด้วยการสั่งกระเพาจานละ 140 บาท หรือไม่ก็คัดสรรเมนูชั้นสูงมื้อละเป็นหมื่นเป็นแสนบาทไม่สะเทือนกระเป๋าหรอก
เพราะฉะนั้น บรรดานักแถประจำตึกหรูจึงพูดได้ ไอ้เรารากหญ้ามองตาปริบๆกันไป
รัฐธรรมนูญแก้ไขได้ทุกสิ่งแม้กระทั่งของแพง จงเชื่อเขาเถิด เผื่อชาติจะพ้นภัย