posttoday

ตามล่าความเร็ว! ตลท.เร่งสปีดกฎหมายตลาดทุน "กิติพงศ์" เปิดแผนใหญ่ลดขั้นตอนคดีเหลือ 1ปี ฟื้นเชื่อมั่น

20 ตุลาคม 2568

"กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์" เปิดแผนเร่งสปีดกฎหมายตลาดทุน ลดเวลาพิจารณาคดีจาก 3ปี เหลือไม่เกิน 12 เดือน ดึงทุกหน่วยงานร่วมมือ ปปง.-DSI-ศาลยุติธรรม พร้อมเสริมบทบาท "สื่อ-ผู้สอบบัญชี" เป็น Watchdog ป้องกันทุจริตในระบบตลาดทุนไทย

KEY

POINTS

  • "กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์" เปิดแผนเร่งสปีดกฎหมายตลาดทุน
  • ลดเวลาพิจารณาคดีจาก 3 ปี เหลือไม่เกิน 12 เดือน ดึงทุกหน่วยงานร่วมมือ ปปง.-DSI-ศาลยุติธรรม
  • พร้อมเสริมบทบาท "สื่อ-ผู้สอบบัญชี" เป็น Watchdog ป้องกันทุจริตในระบบตลาดทุนไทย

ในโลก "ตลาดทุน" ที่ทุกวินาทีมีมูลค่าเป็นพันล้าน หมื่นล้านบาท ความล่าช้าเพียงหนึ่งวันอาจหมายถึง "ความเสียหายอย่างมหาศาล" และนี่คือสิ่งที่ "ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์" ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) มองว่าเป็น "หัวใจของการปฏิรูปตลาดทุนไทย"

ด้วยแนวคิด "ความเร็วคือความยุติธรรม" เขากำลังขับเคลื่อนแผนใหญ่เพื่อเร่งสปีดกระบวนการทางกฎหมายให้ทันโลก ลดระยะเวลาคดีจากเดิมที่ใช้เวลา 2–3 ปี เหลือไม่เกิน 12 เดือน พร้อมสร้างกลไกใหม่ตั้งแต่ระดับ ก.ล.ต., ปปง., DSI จนถึงศาลยุติธรรม เพื่อให้ "ผู้กระทำผิดเกรงกลัว" และ "นักลงทุนมั่นใจ" ว่าตลาดทุนไทยจะไม่ใช่พื้นที่ของคนโกงอีกต่อไป

นี่คือเรื่องราวของ "ภารกิจเร่งสปีดตลาดทุนไทย" ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของระบบกฎหมายการเงินทั้งประเทศ

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ ยอมรับว่า หัวใจสำคัญของเรื่องนี้คือ "ความรวดเร็ว" หากเราต้องการให้ตลาดทุนมีความเข้มแข็ง สิ่งแรกที่ต้องทำคือการทำให้การบังคับใช้กฎหมายรวดเร็วขึ้นอย่างมาก

ปัจจุบันนี้ กระบวนการทางคดี ตั้งแต่ต้นจนจบ อาจใช้เวลานานถึง 2-3 ปี กว่าคดีจะถึงที่สุด นั่นเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมากจนทำให้ผู้กระทำผิดอาจไม่เกรงกลัว พวกเขาอาจคิดว่า "ไม่เป็นไร สู้ทำไปก่อน แล้วค่อยว่ากันที่หลัง"

ความท้าทายของเราคือการลดระยะเวลาดังกล่าวลงให้เหลือเพียงประมาณ 12 เดือน หรืออย่างมากที่สุดไม่เกิน 2 ปี

บทที่ 1 การลดขั้นตอนและความร่วมมือที่จำเป็น

การบรรลุเป้าหมายด้านความเร็วนี้ ต้องอาศัยการร่วมมือจากหลายฝ่าย

  1. การบังคับใช้กฎหมายที่รวดเร็ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตั้งแต่ ตลาดหลักทรัพย์ฯ, สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และตำรวจ จะต้องเห็นความสำคัญของตลาดทุน และดำเนินการทำคดีอย่างจริงจัง
  2. ปลดล็อกชั้นสอบสวน แม้ว่าขั้นตอนของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)จะค่อนข้างรวดเร็วอยู่แล้ว แต่ความล่าช้าส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นที่ชั้นสอบสวน เรากำลังรอการแก้ไขกฎหมายที่อาจให้อำนาจ ก.ล.ต. ในการสอบสวนได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนลงได้มาก
  3. ความรวดเร็วในศาล ถัดจากชั้นสอบสวน เราต้องการให้อัยการสั่งคดี และศาลพิจารณาคดีอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้อำนาจเบื้องต้นในการยึดและอายัดทรัพย์สินของ ปปง.ก็มีความสำคัญเช่นกัน เพื่อให้ผู้กระทำผิดเกรงกลัว

การทำงานร่วมกับหน่วยงาน อย่าง ปปง. หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) จะช่วยเสริมให้ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีเกิดความเกรงกลัวได้มากขึ้น

บทที่ 2 การสร้างความเข้าใจและอำนาจใหม่

สิ่งที่ตามมาคือ การแก้กฎหมายอย่างรวดเร็ว เพราะความมั่นใจและความทุจริตที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆนี้ทำให้กฎหมายตลาดทุนมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากกลไกทางกฎหมายไม่มีอำนาจเพียงพอ เช่น ก.ล.ต. ไม่มีอำนาจฟ้องในบางเรื่อง ก็จะเป็นเรื่องยากในการป้องกันและปราบปราม

นอกจากมิติทางกฎหมายแล้ว ยังมีเรื่องของ "ความเข้าใจ" ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงเริ่มสร้างสถาบันและจัดการอบรมให้กับหน่วยงานยุติธรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้บริหารระดับสูง เพื่อให้พวกเขาเห็นความสำคัญว่า การบังคับใช้กฎหมายตลาดทุนต้องมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว เพราะมันส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ หากเราสามารถสร้างองค์ความรู้ และมีตำรับตำราขึ้นมา รวมถึงการส่งบุคลากรจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปสอน จะช่วยเพิ่มความเข้มแข็งและความเข้าใจให้กับตลาดทุนไทยได้อย่างต่อเนื่อง

บทที่ 3 สื่อมวลชนและผู้สอบบัญชี คือ "Watch Dog"

ในอีกมิติหนึ่งของการควบคุมดูแล คือบทบาทของสื่อมวลชน ผมมองว่าสื่อมวลชนมีความสำคัญอย่างยิ่ง เปรียบเสมือน "Watchdog" ไม่ใช่หมาเฝ้าบ้าน แต่เป็นผู้ที่คอยกำกับดูแล สื่อมีหน้าที่แจ้งข่าวสารและติดตามการกระทำที่ไม่ชอบมาพากล เช่น การเปิดเผยว่า "ทำไมคดีถึงล่าช้า" "เกิดอะไรขึ้น" "ทำไมถึงยกฟ้อง" หรือ "ทำไมถึงให้ประกันตัวโดยไม่มีเหตุผล"

หากสื่อมวลชนทำหน้าที่ติดตาม วิเคราะห์ข้อมูล และเผยแพร่ข้อมูลอย่างเต็มที่ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง และจะทำให้ผู้คนไม่กล้ากระทำผิด เพราะรู้ว่ามีคนคอยจับตาดูอยู่

นอกจากสื่อแล้ว กลไกสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีหน้า คือการแก้ไขเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ "ผู้สอบบัญชี" เพราะถ้ามีเกณฑ์ใหม่ ผู้สอบบัญชีภายนอกจะต้องแจ้งต่อเราโดยตรง หากพบเรื่องผิดปกติ ซึ่งหากไม่แจ้งก็จะถือว่ามีความผิด นี่จะช่วยแก้ไขปัญหาที่บางครั้งเรามารู้เรื่องหลังเกิดเหตุไปแล้ว

บทที่ 4 ความคืบหน้าเชิงบวก และผลที่กำลังจะตามมา

แม้ความท้าทายจะมากมาย แต่ความคืบหน้าในการปฏิรูปก็กำลังเดินหน้า

คณะกรรมการชุดใหม่กำลังจะถูกจัดตั้งขึ้น โดยมีอาจารย์วรศักดิ์เป็นผู้รับผิดชอบ และคาดหวังว่าจะสามารถดำเนินการให้เสร็จสิ้นได้ภายใน 4 เดือน

เราได้พูดคุยกับกระทรวงต่าง ๆ และได้รับสัญญาณที่เป็นบวก ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์แสดงความยินดีที่จะปลดล็อกกฎเกณฑ์ กระทรวงการคลังก็พร้อมให้ความร่วมมือเช่นกัน กระทรวงที่เหลือที่สำคัญคือ "กระทรวงมหาดไทย" ซึ่งมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่มากที่สุด ซึ่งท่านนายกฯ ได้รับปากว่าจะปลดล็อกให้

นอกจากนี้ ในปี 2569 ตลท.ได้นำเสนอเรื่องโครงสร้างภาษี และการหามาตรการลดหย่อนต่าง ๆ ต่อรองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ซึ่งท่านเห็นด้วยในหลักการ แม้ว่าอาจจะต้องมีการพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม แต่โดยรวมแล้ว เรามองเห็นสัญญาณที่เป็นบวกอย่างชัดเจนว่า "รัฐบาลมีความตั้งใจจริงที่จะจัดการเรื่องนี้"

"ผลกระทบต่อตลาดทุนที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ถ้ามาตรการที่กล่าวมานี้มีความคืบหน้า ผมเชื่อว่าจะมีนักลงทุนรายใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดได้มากขึ้น และแน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้จะส่งผลให้ตลาดทุนโดยรวมดีขึ้นอย่างชัดเจน."

ข่าวล่าสุด

ทรู จับมือ กสทช. ส่งรถโมบายล์ COW เสริมสัญญาณศูนย์พักพิงชายแดนไทย-กัมพูชา