หนักหน่วง! เงินหาย-กำไรหด-คนสิ้นหวัง กูรูชี้ไทยต้องทำ ‘QE’ ฟื้นเศรษฐกิจก่อนวิกฤติหนัก
นับถอยหลังสัญญาณวิกฤติส่งกลิ่นแรง กำไรบริษัทดำดิ่ง เศรษฐกิจจริงไม่ฟื้น หนี้ครัวเรือนพุ่ง คนสิ้นหวัง นักกลยุทธ์การลงทุนเตือนไทยติดหล่มหาทางออกไม่เจอ ชี้ทางรอดสุดท้ายต้องทำ QE แม้เสี่ยงสูง แต่หากไม่กล้าเปลี่ยน ไทยอาจตกชั้นทางเศรษฐกิจอย่างถาวร!
KEY
POINTS
- นับถอยหลังสัญญาณวิกฤติส่งกลิ่นแรง กำไรบริษัทดำดิ่ง เศรษฐกิจจริงไม่ฟื้น หนี้ครัวเรือนพุ่ง คนสิ้นหวัง
- นักกลยุทธ์การลงทุนเตือนไทยติดหล่มหาทางออกไม่เจอ
- ชี้ทางรอดสุดท้ายต้องทำ QE แม้เสี่ยงสูง แต่หากไม่กล้าเปลี่ยน ไทยอาจตกชั้นทางเศรษฐกิจอย่างถาวร!
นับถอยหลังเข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี 2568 ท่ามกลางความคาดหวังว่ารัฐบาล "อนุทิน" จะพาเศรษฐกิจไทยพลิกฟื้น ดัชนีหุ้นอาจทะยานแตะ 1,400 จุดตามคำทำนายของโบรกเกอร์
แต่เบื้องหลังตัวเลขสีเขียวกลับเต็มไปด้วย "สัญญาณอันตราย" ที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเข้าสู่ขาลงแบบยืดเยื้อ "กำไรต่อหุ้น (EPS)" ร่วงต่อเนื่อง เศรษฐกิจจริงไม่ฟื้น หนี้ครัวเรือนพุ่งไม่หยุด และคนไทยจำนวนมากกำลังสิ้นหวัง สะท้อนเศรษฐกิจที่ป่วยหนักที่สุดในรอบหลายปี
"คุณแพค" ภัทรนันท์ ธนียวัน ลิ้มอุดมพร นักกลยุทธ์การลงทุน (ผู้จัดการอาวุโส) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็กซ์สปริง จำกัด หรือ XSpring AM ชี้ว่า ตัวเลขประมาณการ กำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนไทยยังอยู่ในช่วงขาลง
นั่นหมายความว่า.. ตราบใดที่กำไรไม่ดี หุ้นก็ขึ้นได้ไม่ไกล และการขึ้นไปใดๆก็ตามเป็นเพียงการขึ้นอยู่บนความคาดหวังเท่านั้น
ที่น่ากังวลกว่านั้น คือ ภาพระยะยาว หากเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค อย่าง ไต้หวัน, มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ ตลาดหุ้นไทยแทบไม่ขยับไปไหนในประวัติศาสตร์
นั่นแปลว่าสัดส่วนของประเทศไทยกำลังเล็กลงเรื่อยๆ บนเวทีโลก นักกลยุทธ์การลงทุนเตือนอย่างตรงไปตรงมาว่า "ตลาดหุ้นไทยอาจถูกทิ้งไปเลยจากความสนใจของนักลงทุนต่างประเทศ" เพราะ Market Cap ไม่ได้เติบโตขึ้น
สัญญาณวิกฤติที่ซ่อนอยู่ใต้พรม
เมื่อถูกถามว่าสถานการณ์นี้ร้ายแรงเพียงใด นักกลยุทธ์การลงทุนได้ชี้ไปที่ตัวชี้วัดทางสังคมที่น่าตกใจที่สุด นั่นคือ "ข่าวการฆ่าตัวตาย" การที่ผู้คนกระโดดตึกหรือฆ่าตัวตายในพื้นที่สาธารณะบ่อยครั้งผิดปกติ เป็นปรากฏการณ์ที่เราเคยเจอมากที่สุดในช่วงวิกฤติปี 2540 นี่คือ "อินดิเคเตอร์ที่ชัดเจน" ว่าเศรษฐกิจไทยเบื้องหลังกำลังมีปัญหาหนักมาก
ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นเนื่องจากฐานรากทางเศรษฐกิจไม่แข็งแรง นโยบายที่มุ่งหวังให้ "ลดหนี้ครัวเรือน" ด้วยการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ กลับไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาจริงๆ หนี้สินครัวเรือนเพียงแค่นิ่งลง
แต่ในความเป็นจริง มันกำลังเปลี่ยนไปเป็นสินเชื่อนอกระบบมากขึ้นเรื่อยๆ ผลจากการที่รายได้ประชาชนไม่เพิ่มขึ้น เพราะตราบใดที่เศรษฐกิจไม่ฟื้น ผู้คนก็ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้
นักกลยุทธ์การลงทุนยืนยันว่าข้อมูลต่างๆ บ่งชี้ชัดเจนว่า "เศรษฐกิจไทยกำลังติดหล่มขาลงประเภทหาทางออกไม่เจอ" และนโยบายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้น "เข้มงวดจนเกินไป" ทำให้เศรษฐกิจไม่โต
หากคำนวณตามโมเดลสมการอย่างรวดเร็ว "อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมในปัจจุบันควรเหลืออยู่แค่ 0.5% เท่านั้น" ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50% ต่อปี
คำตอบสุดท้าย ต้อง "กัดฟันทำ QE"
เมื่อมาตรการทั่วไปใช้ไม่ได้ผล และเราเหลือทางเลือกไม่มากนัก สิ่งที่ต้องทำอาจจะเป็นมาตรการที่ต้องอาศัยความกล้าหาญจากผู้กำหนดนโยบายอย่างสูง นั่นคือ กัดฟันทำ "QE" หรือ Quantitative Easing นี่คือมาตรการที่ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง เพราะหนี้ภาครัฐอาจพุ่งขึ้น แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงนี้ เพื่อขับเคลื่อน GDP
นักกลยุทธ์การลงทุน กล่าวว่า เราไม่มีทางเลือกแล้ว การทำ QE เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นที่ช่วยให้ประเทศมีช่วงเปลี่ยนผ่านในการบูสต์เศรษฐกิจใหม่ๆ
QE ไม่ใช่การ "ปริ้น เงิน" แต่มันคือการดำเนินการร่วมกันระหว่างสองฝ่าย!!
- ฝ่ายธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ทำหน้าที่ทางเทคนิคโดยการ "รับซื้อคืนพันธบัตร" เพื่อทำให้ "สภาพคล่องสูงขึ้น" โดยพันธบัตรนั้นจะถูกนำเข้าสู่ Balance Sheet ของแบงก์ชาติ
- ฝ่ายรัฐบาล ต้องมี "นโยบายอะไรก็ตามออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ" ที่มุ่งเน้นการ drive GDP
"นี่คือเงื่อนไขที่ขาดไม่ได้ QE เป็นเพียง "มาตรการระยะสั้น" เพื่อช่วยให้เรามีช่วงเปลี่ยนผ่านในการบูสต์ GDP และก้าวไปสู่ Curve เศรษฐกิจใหม่ๆ หากทำ QE โดยที่ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจตามมาเพื่อให้ GDP เติบโตทัน สิ่งที่ตามมาคือ "หนี้ กับ GDP มันตามกันไม่ทัน" และเราจะเผชิญกับสภาวะภาวะเงินฝืดจากหนี้ debt-deflation ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่แย่มาก"
แม้การทำ QE อาจทำให้หนี้ภาครัฐ "อาจจะพุ่งขึ้น" แต่มีงานวิจัยที่ชี้ว่าระดับหนี้สินกับ GDP ไม่ได้สอดคล้องไปด้วยกันเสมอไป นั่นหมายความว่า หากเราสามารถ drive GDP ได้สำเร็จ แม้หนี้จะสูงขึ้น เศรษฐกิจก็ยังเติบโตต่อได้
ตัวอย่างความสำเร็จนี้มีให้เห็นแล้วในประเทศญี่ปุ่น แม้จะมีหนี้ต่อ GDP สูงถึงประมาณ 163% แต่สุดท้ายญี่ปุ่นก็สามารถ "ออกจากสภาวะเงินฝืด" ได้สำเร็จหลังจากใช้เวลากว่าเกือบ 30 ปี
"หากไม่กล้าตัดสินใจ และเลือกที่จะใช้มาตรการแบบประคับประคองไปเรื่อยๆ โอกาสที่ไทยจะตกชั้นและติดลบในเศรษฐกิจแบบไม่มีอนาคตนั้นสูงมาก และอาจไม่แตกต่างจากชาติที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจรุนแรง เช่น ศรีลังกา หรือ ปากีสถาน"
การแก้ไขปัญหาที่แท้จริงไม่สามารถมาจากการเอาเงินเข้าไปใส่ในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพื่อประคองราคาหุ้นเท่านั้น แต่ต้องมาจาก "การแก้ปัญหาปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจให้ได้"
นักกลยุทธ์การลงทุน ระบุว่า ปัญหาทั้งหมดขึ้นอยู่กับ "ความกล้าหาญ" ของผู้ตัดสินใจนโยบาย หากเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย และไม่คิดจะลดดอกเบี้ยนโยบาย QE อาจจะต้องเป็นคำตอบสุดท้ายที่ต้องใช้
คำเตือนสุดท้ายคือ... หากเลือกที่จะ "ไม่ทำอะไรเลย" ในตอนนี้ เก็บคองอเข่า ประเทศไทยอาจจะต้องอยู่ในสภาวะเศรษฐกิจแบบเงินฝืดไปอีกนานมาก ซึ่งอาจทำให้เราต้องเห็นเหตุการณ์น่าสลดใจอย่างการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับนักลงทุน การลงทุนที่แนะนำอย่างชัดเจนคือ ลงทุนในต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะหุ้นที่กำไรยังเติบโต.


