posttoday

เลือดข้นคนจาง! ศึกชิง "ดุสิตธานี" จากมรดกครอบครัว สู่เกมโหวตผู้ถือหุ้นและสมรภูมิทุนใหญ่

03 กันยายน 2568

เกมอำนาจธุรกิจครอบครัว! ดุสิตธานีเผชิญแรงสั่นสะเทือนใหญ่ นับถอยหลังสู่ศึกโหวต 26 กันยายนนี้ ความขัดแย้ง-การลงทุน-พันธมิตร ถูกจับตาทุกฝีก้าว

KEY

POINTS

  • เกมอำนาจธุรกิจครอบครัว! ดุสิตธานีเผชิญแรงสั่นสะเทือนใหญ่
  • นับถอยหลังสู่ศึกโหวต 26 กันยายนนี้ ความขัดแย้ง-การลงทุน-พันธมิตร ถูกจับตาทุกฝีก้าว

วงการธุรกิจไทยยังคงจับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มทายาทโรงแรม "ดุสิตธานี" ที่เกิดความขัดแย้งภายในครอบครัวมาตั้งแต่ปี 2563 หลังการเสียชีวิตของ "ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย" ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อธุรกิจโรงแรมอย่างรุนแรง

เลือดข้นคนจาง! ศึกชิง "ดุสิตธานี" จากมรดกครอบครัว สู่เกมโหวตผู้ถือหุ้นและสมรภูมิทุนใหญ่

หลังข่าวความขัดแย้งในกลุ่มพี่น้องทายาทโรงแรมดุสิตธานีเข้าสู่จุดเดือด นับตั้งแต่ "ท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย" เสียชีวิตในปีพ.ศ.2563 ในช่วงเกิดวิกฤติโควิด-19 ธุรกิจโรงแรมค่อนข้างย่ำแย่จึงตกลงกันให้บุตรชายคนโต "ชนินทธ์ โทณวณิก" ดูแล "บริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด" ซึ่งถือหุ้นใหญ่ 49.74% ใน "บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DUSIT" 

ขณะที่บุตรสาวทั้งสอง "นางสุนงค์ สาลีรัฐวิภาค และ นางสินี เธียรประสิทธิ์" ได้รับหุ้น "บริษัท ปิยะศิริ จำกัด ถือหุ้นใหญ่โรงพยาบาลสุขุมวิท" และ "บริษัท ธนจิรัง จำกัด ประกอบธุรกิจพัฒนาและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์" พร้อมกับนำทรัพย์สินอื่นๆชดเชยให้เท่ากัน แต่ต่อมามีความเห็นต่างเกี่ยวกับแนวทางจัดสรรทรัพย์สินและมรดก โดยต่างฝ่ายต่างมีข้อชี้แจงต่อศาลตามสิทธิทางกฎหมาย

พร้อมกับถอด "ชนินทธ์ โทณวณิก" ออกจากบริษัท ชนัตถ์และลูก จำกัด ก่อนที่จะแต่งตั้ง "นายภัทร สาลีรัฐวิภาค และนางสาวลลิตา เธียรประสิทธิ์" เป็นกรรมการใหม่

ยอมไม่ได้!!

ในปี 2566 นายชนินทธ์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลเกี่ยวกับการใช้สิทธิถอดถอนตนออกจากตำแหน่งกรรมการบริษัท ขณะที่ฝ่ายน้องสาวทั้งสองคนให้การปฏิเสธและชี้แจงว่าไม่เป็นไปตามที่กล่าวอ้าง ปัจจุบันคดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล และยังไม่มีคำตัดสินถึงที่สุด

ความขัดแย้งใน "ดุสิตธานี" ไม่ได้หยุดแค่ศึกในบ้าน แต่พัวพัน "กลุ่มเซ็นทรัล" 

ย้อนกลับไปในปีพ.ศ.2561 กลุ่มดุสิตธานีมีแนวคิดที่จะรีโนเวทโรงแรมดุสิต แต่ด้วยทุนจดทะเบียนที่มีเพียง 850 ล้านบาท สวนทางกับโครงการระดับหมื่นล้านที่วางแผนไว้ อีกทั้งในบางส่วนงานอาจไม่ถนัดมากนักจึงเดินหน้าหาพาร์ทเนอร์เข้ามาร่วมลงทุน ในตอนนั้นเจรจาหลายรายทั้งในไทยและต่างประเทศ 

ท้ายที่สุดเลือก "กลุ่มเซ็นทรัล" เข้ามาร่วมลงทุน ด้วยความที่ทั้งสองตระกูลรู้จักกันมาอย่างยาวนานจึงค่อนข้างไว้เนื้อเชื่อใจอย่างที่สุด จึงเกิดโครงการ Dusit Central Park ที่ดุสิตถือหุ้น 60% และ CPN ถือ 40% ก่อนจะปรับเป็น 70% ต่อ 30% ตามลำดับ

ต่อมามีรายงานว่า CPN เข้าซื้อหุ้น DUSIT ในตลาดหุ้นสูงถึง 22% มีรายงานว่านายชนินทร์ไม่เห็นด้วยต่อกรณีดังกล่าว ที่สำคัญหาก CPN ซื้อหุ้นอีกเพียง 3% จะถือหุ้นถึง 25% นั่นหมายความว่า CPN จะสามารถตั้งโต๊ะรับซื้อหุ้น(เทนเดอร์ออฟเฟอร์)ได้

เมื่อทราบเรื่องทางดุสิตธานีไม่นิ่งนอนใจ ตั้งข้อเรียกร้องให้ CPN ขายหุ้นออกมาครึ่งหนึ่ง และขอไม่ให้ส่งคนเข้ามานั่งเป็นกรรมการ ด้วยทั้งสองฝ่ายมีความทับซ้อนกันทั้งโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้นจึงดึง "อนันดาฯ" เข้ามาซื้อหุ้น 5% และที่เหลืออีกราว 5-6% จะมีการซื้อขายรอบถัดไป แต่ท้ายที่สุด CPN ยังคงถือหุ้น DUSIT ในสัดส่วน 17.09% มาจนทุกวันนี้

อีกทั้งกลุ่มเซ็นทรัลเสนอชื่อ "ปัณฑิต มงคลกุล" และ "ภูม โอสถานนท์" เข้ามานั่งกรรมการชุดใหม่ แม้ CPN จะยืนยันว่าเป็นแค่การมีส่วนร่วมตามสิทธิ์ผู้ถือหุ้น ไม่ได้หวังอำนาจควบคุม แต่เสียงลือยังแรงต่อเนื่อง ว่านี่คือเรื่องปกติของการทำธุรกิจหรือไม่อย่างไร

26 ก.ย.เดือด! ถอดอำนาจ "ชนินทธ์-ศุภจี"

26 กันยายนนี้ ไม่ได้แค่การโหวตถอดถอน "ชนินทธ์" และ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ซีอีโอ DUSIT ออกจากสิทธิ์ลงนามแทนบริษัทเท่านั้น แต่ยังมีการสลับขั้วอำนาจครั้งใหญ่จากเดิมที่คนในตระกูล 2 คน ลงนามได้ เปลี่ยนเป็นให้ ดร.กฤษดา กวีญาณ และ นายศุภศักดิ์ จิรเสวีนุประพันธ์ ลงนามร่วมกับนางสินีได้

แม้นายชนินทธ์และนางศุภจีจะถูกจับตาในศึกโหวตผู้ถือหุ้น แต่เรื่องนี้ยังไม่ถึงบทสรุป เพราะประเด็นการถอดถอนยังอยู่ในกระบวนการศาล หากศาลมีความเห็นว่ากระบวนการไม่ถูกต้อง ผลการตัดสินใจของบอร์ดชุดใหม่ก็อาจถูกทบทวน

"ดุสิตธานี" คือธุรกิจที่กำลังฟื้นไข้จากที่ซบเซามาอย่างยาวนาน และเตรียมจุดพลุในปี 2568 ที่จะรับรุ้กำไรราว 2,000-3,000 ล้านบาท จากการขายโครงการดุสิต เรสซิเดนเซส ที่มียอดขายกว่า 93% ทำยอดขายมากกว่า 17,000 ล้านบาท

เลือดข้นคนจาง! ศึกชิง "ดุสิตธานี" จากมรดกครอบครัว สู่เกมโหวตผู้ถือหุ้นและสมรภูมิทุนใหญ่

ภาพ ตลาดหลักทรัพย์ฯ

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า "ธุรกิจครอบครัว" ในยุคใหม่ไม่ได้มีเพียงมิติด้านอารมณ์ แต่ยังเต็มไปด้วยมิติทางการเงิน กฎหมาย และกลยุทธ์ธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำว่าการวางโครงสร้างบริหารและข้อตกลงครอบครัวอย่างชัดเจนตั้งแต่ต้น เป็นกุญแจสำคัญที่จะป้องกันความขัดแย้งรุนแรงในอนาคต.

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 8 ธ.ค. 68