posttoday

การเมืองเดือด ตลาดหุ้นฝืด! เกมใหญ่เขย่าเชื่อมั่นนักลงทุน

11 มิถุนายน 2568

ศึกปรับ ครม. และไต่สวนคดี "ทักษิณ" กลายเป็นหมากตัวแปรสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย วางกลยุทธ์ให้แม่น คัดหุ้นเด่นเฉพาะตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ไม่จางหาย

KEY

POINTS

  • ศึกปรับ ครม. และไต่สวนคดี "ทักษิณ" กลายเป็นหมากตัวแปรสำคัญต่อทิศทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทย
  • แม้ปัจจัยต่างประเทศจะเป็นบวก แต่บรรยากาศลงทุนกลับดูอึดอัด
  • ลิเบอเรเตอร์ ชี้ช่องวางกลยุทธ์ให้แม่น คัดหุ้นเด่นเฉพาะตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่ไม่จางหาย

การเมืองไทยกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออีกครั้ง โดยเฉพาะการปรับคณะรัฐมนตรีที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2568 พร้อมกับประเด็นร้อนจากกรณีศาลฎีกานัดไต่สวนอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร

ทั้งสองเหตุการณ์ถือเป็น "แรงกดดันทางจิตวิทยา" สำคัญต่อตลาดทุนในระยะสั้น แม้ปัจจัยภายนอกจะส่งสัญญาณบวกชัดเจน ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านทยอยฟื้น แต่ตลาดหุ้นไทยกลับเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด

ขณะเดียวกัน มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและความคาดหวังจากงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาท ยังคงเป็นความหวังที่รอการคลี่คลาย ท่ามกลางความไม่แน่นอน นักลงทุนควรบริหารความเสี่ยงและเลือกหุ้นอย่างไร ?

"วิจิตร อารยะพิศิษฐ" นักกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัย บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า การปรับ ครม. รอบนี้คาดว่าน่าจะเห็นการปรับโฉมครั้งใหญ่และชัดเจนในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ ดังนั้นในช่วงนี้จึงทำได้เพียงรอดูความชัดเจน เพียงแต่ในเชิงการลงทุนอาจเป็นกลไกที่อาจจะทําให้ช่วงนี้ตลาดหุ้นดูน่าอึดอัด ด้วยปัจจัยต่างประเทศถือว่าสัญญาณดี แต่กลายเป็นว่าตลาดบ้านเราไม่ค่อยตอบรับเชิงบวกเท่ากับตลาดเพื่อนบ้าน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นประเด็นการปรับ ครม. และ ศาลฯนัดไต่สวนคดีทักษิณจึงเป็นปัจจัยกดดันหลักในช่วงสั้น

ประเด็นการเมืองต้องจับตา

12 มิ.ย.68 แพทยสภานัดประชุม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของไทย เข้าประชุมด้วย เพื่อลงมติยืนยืนยันหรือเปลี่ยนแปลงมติเดิมที่เคยลงโทษแพทย์ 3 คน เกี่ยวกับการรักษานายทักษิณ ชินวัตร ที่ โรงพยาบาลตำรวจ มีแนวโน้มว่า แพทยสภาอาจยืนยันมติเดิมหากไม่มีการถอนตัวหรืองดออกเสียงจากกรรมการจำนวนมาก 

13 มิ.ย.68 เวลา 9.30 น. ศาลฎีกาฯนัดไต่สวนนายทักษิณ-ผู้เกี่ยวข้อง กรณีรักษาตัวชั้น 14 ประเด็นที่ศาลจะพิจารณา 1.การบังคับโทษจำคุกเป็นไปตามหมายจำคุกหรือไม่ 2.การอนุญาตให้นอนโรงพยาบาลมีเหตุผลทางการแพทย์จริงหรือเป็นการเอื้อประโยชน์ 3.บทบาทของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กรมราชทัณฑ์, โรงพยาบาลตำรวจ และแพทย์ผู้รับผิดชอบ

"ตอนนี้ตลาดอยากเห็นมาตรการที่กระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างแรกคือ มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นช่วงโลว์ซีซั่นในไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ซึ่งผ่านมาจนถึงเดือน มิถุนายนแล้วยังไม่มีการกระตุ้นใดๆออกมาจึงคาดว่าน่าจะเห็นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวก่อน ส่วนงบประมาณเก่า 1.57 แสนล้านบาทนั้นอาจต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าจะนำเงินไปทำอะไร อย่างไรบ้าง"

ตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของเดือนมิถุนายนนี้ แม้สัญญาณปรับตัวเชิงบวกตลอด 2 วันแต่ยังไม่สามารถเคลื่อนไหวในทางบวกชัดเจนเหมือนตลาดหุ้นต่างประเทศ

ในเชิงการลงทุนตราบใดที่ดัชนีไม่หลุดต่ำกว่า 1,120 จุด ถือเป็นกรอบที่พอจะซื้อเก็งกำไรได้ แต่ต้องเลือกหุ้นที่มีสภาพคล่อง เนื่องด้วยสภาพคล่องในปัจุบันค่อนข้างเหือดแห้ง ความเชื่อมั่นในการลงทุนเบาบาง หุ้นที่ประคองได้มักเป็นหุ้นที่อยู่ในโซนล่างที่อยู่ไม่เกิน SET50

หุ้นที่มีสตอรี่เฉพาะตัว เช่น บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MONO, บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ฯลฯ แต่ถือว่าเล่นยากสําหรับนักลงทุนที่ไม่เคยโฟกัสหุ้นทั้งสองตัวนี้

ดังนั้นหากจะเล่นแบบง่ายต้องหาหุ้นบิ๊กแคปโซนล่างที่พื้นฐานอาจจะตอบรับเชิงลบ โดยหุ้นโซนล่างในที่นี้หมายถึงหุ้นที่ตอบรับเชิงลบในระดับหนึ่ง พอที่จะเก็งกำไรได้ อาทิ กลุ่มท่องเที่ยว ราคาปรับตัวลดลงมาค่อนข้างเยอะ แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทยลดลงและมีโอกาสลดลงในอนาคต แต่อย่าลืมว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาค่อนข้างมีคุณภาพ สะท้อนภาพจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น

โดยหุ้นที่น่าสนใจ คือ หุ้นโรงแรมที่ดีที่สุด "บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL" ราคาหุ้นค่อยๆขยับขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนจนถึงปัจจุบันมากว่า 10% จากฐานที่ต่ำในปีที่ผ่านมา และในปีนี้กลับมาเปิดตัวโครงการภูเก็ตและพัทยา รวมถึงได้อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวแห่เที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นช่วยชดเชยมัลดีฟส์ที่อาจจะลดลง

"CENTEL ถือเป็นหุ้นไซซ์ใหญ่ที่ลงแรง valuation ลึกมากคิดว่าอยู่ในจังหวะของ earning ที่แข็งแกร่งน่าสนใจ"

อีกกลุ่ม คือ โรงไฟฟ้า ชอบ "บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF" สามารถเก็งกำไรช่วงราคาหุ้นแถว 40 บาทได้ไม่แย่สามารถตั้งรับได้ ด้วยกําไรในไตรมาส 1/68 ดีมาก และดีต่อเนื่องในไตรมา 2/68 เริ่มรับรู้ในฝั่ง INTUCH , ADVANC เข้ามาถือเป็นสัญญาณดีต่อเนื่อง

ที่สำคัญในช่วงครึ่งปีหลัง GULF ได้ดาเตอร์เซ็นเตอร์เข้ามาเป็นตัวบวกเพิ่ม ส่วนในปี 2569 เรื่องต้นทุนแก๊ส การนำเข้า LNG เข้ามาหนุนสตอรี่บวกต่อเนื่อง

ส่วนหุ้นโซนล่างอีกตัวที่น่าสนใจ คือ "กลุ่มการเงิน" ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจแย่ นักลงทุนกลัว NPL พุ่งสูง แต่หากคัดเฉพาะหุ้นที่มีสัญญาณดีขึ้น คือ "บริษัท ติดล้อ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR" ในไตรมาส 1/2568 ตัวตั้งสํารองลดลง ดูจาก Credit Cost คือการตั้งสํารองถือว่าผ่าน สินเชื่อลดลงกว่าที่ตลาดคาดเยอะ

สะท้อนว่า TIDLOR มีคุณภาพสินทรัพย์เริ่มกลับมาดี ถือเป็นตัวหนึ่งที่ค่อนข้างใช้ได้ ขาดทุนจากรถยึดลดลงเพราะว่าตอนนี้ราคารถยนต์มือสอง รถบรรทุกมือสองเริ่มทรงตัวจนถึงปรับขึ้นเล็กน้อย นี่คือภาพของการขาดทุนรถยึดที่น้อยลง และอีกกิมมิค คือเข้า SET50 SET100 หากรอบสุดท้ายสามารถเข้าได้ถือเป็นอีกหนึ่งเซอร์ไพรส์ 

"TIDLOR เทรดพี/อีต่ำกว่า 10 เท่า ถือว่าเข้าแก๊ปหน้าหุ้นไซส์ใหญ่ที่จะเป็นเซคเตอร์อยู่ในโซนล่างแต่เริ่มเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้น ระยะสั้นอาจจะต้องเลือกหุ้นรายตัวที่มีสตอรี่บวก อาจไม่ได้ขึ้นยกแผง อาจจะไม่ได้ขึ้นยกเช็คเตอร์"

ส่วนกลุ่มโซนบนที่หากย่อตัวลงมาน่าสนใจ คือ กลุ่ม ICT จังหวะของการเทรดดิ้งสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณหนึ่งสแตนดาร์ด ทั้ง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC และ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE ผลกระกอบการในไตรมาส 1/68 ทําได้ดีทั้งคู่ รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมายขยับขึ้น และเชื่อว่าจะขึ้นต่อในไตรมาส 2/68 เพราะมีการปรับแพ็คเกจ ปรับราคาเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/68 จะรับรู้เข้ามาในไตรมาส 2 

และอีกกิมมิคคือการประมูลคลื่นความถี่ที่จะเกิดขึ้นในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่ง ADVANC สนใจคลื่น 2001 และ TRUE สนใจคลื่น 2003 ต้องลุ้นว่าการประมูลจะมีราคาที่ฉีกกว่าราคากลางมากน้อยแค่ไหน ต้องจับตาดูความชัดเจน ถ้าหากประมูลได้ราคาที่ไม่หนีราคากลางมาก สัญญาณของปี 2569 จะได้ประหยัดต้นทุนปีละ 1,000 ล้านบาท

"ราคาหุ้น ADVANC และ TRUE หากมีจังหวะย่อตัวลงมาสะสมได้ ส่วนตัวคิดว่าพื้นฐานภาพใหญ่ยังดี ยังหากลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นสินค้าจําเป็นแบบนี้ไม่ได้ เพราะทุกคนใช้มือถือแล้วภาวะแข่งขันเหลือ 2 เจ้า ดังนั้นการแข่งขันต่ำ ประหยัดต้นทุน"

สุดท้ายคือถ้าภาพรวมตลาดหุ้นดีขึ้น สัญญาณ Global Play ฟื้น สงครามการค้าจบเร็วภายใน 1-2 เดือนนี้แน่นอนว่าหน้าหุ้นที่โดนกดดันจากประเด็นการค้าจะเกิดการเก็งกำไรได้ อันนี้คือเป็น Event play นักลงทุนอาจจะต้องติดตามเรื่องของการเจรจาจีน-สหรัฐอย่างต่อเนื่อง แม้ล่าสุดการเจรจาออกมาเชิงบวก แต่รอจนกว่าจะจบจริงในระยะยาว

แน่นอนว่าหากการเจรจาสหรัฐ-จีนจบสวย แม้กำไรยังไม่ฟื้นแต่ราคาหุ้นพร้อมจะแกว่งขึ้น เช่น ปิโตรเคมี  บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC , โรงกลั่น , อิเล็กทรอนิกส์, นิคมอุตสาหกรรม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA

ทั้ง 4 กลุ่มอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มที่อยากจะเป็น proxy ของเรื่องเทรดวอร์ ดังนั้นต้องติดตามเรื่องดังกล่าวอย่างใกล้ชิด หากยืดเยื้อให้ไปเล่นหุ้นกลุ่มแรกก่อนที่เชื่อมกับสัญญาณในประเทศ แต่ถ้าเจรจาออกมาดีผลบวกทุกอย่างจบ 4 กลุ่มนี้จะจุดพลุ

ข่าวล่าสุด

กรมอุตุฯเตือนทั่วไทยมีฝนฟ้าคะนอง ตกหนักสุดภาคตะวันออกร้อยละ60