posttoday

ผ่างบ "กลุ่ม SCC" ไตรมาส 2/68 ธุรกิจลูกดีหนุนผลงานฟื้น ?

23 พฤษภาคม 2568

หุ้นกลุ่ม SCC ส่งสัญญาณบวก! ผลงานไตรมาส 2/68 บวกรับราคาน้ำมันลง-ส่วนต่างปิโตรเคมีฟื้น บวกนโยบายรัฐกระตุ้นลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหนุนธุรกิจวัสดุก่อสร้างขยายตัว

KEY

POINTS

  • หุ้นกลุ่ม SCC ส่งสัญญาณบวก! ผลงานไตรมาส 2/2568 บวกรับราคาน้ำมันลดลง-ส่วนต่างปิโตรเคมีฟื้น
  • กลยุทธ์รับมือเศรษฐกิจโลกชะลอ เดินหน้าเจาะตลาดสินค้ามูลค่าเพิ่มสูง
  • บวกนโยบายรัฐเปลี่ยนผ่านจากกระตุ้นบริโภคสู่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานหนุนธุรกิจวัสดุก่อสร้างขยายตัว

กลุ่ม SCC เอาตัวรอดจากมรสุมเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าได้อย่างไร ? เมื่อความเสี่ยงจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯกดดันตลาดส่งออกทั่วโลก และความกังวลเรื่องเศรษฐกิจถดถอยเริ่มทวีความรุนแรง

ด้วยเหตุนี้ทางกลุ่ม SCC จึงปรับกลยุทธ์มาอย่างต่อเนื่อง พร้อมยกระดับสินค้ามูลค่าเพิ่มสูงเพื่อแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งสะท้อนภาพผ่านผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ในช่วงที่ผ่านมาได้ดี

ผ่างบ "กลุ่ม SCC" ไตรมาส 2/68 ธุรกิจลูกดีหนุนผลงานฟื้น ?

คำถาม คือ ต้นทุนลด-ลูกโต แต่เศรษฐกิจโลกผันผวน จะรักษาการเติบโตในไตรมาส 2/68 ได้หรือไม่ ?

และ ถึงเวลาสะสมหุ้นกลุ่ม SCC หรือ ต้อง “รอดูเกม” ในช่วงครึ่งปีหลัง ?

"ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม" กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC กล่าวก่อนหน้านี้ว่าสถานการณ์และผลกระทบจากสงครามการค้าโลกมีผลกระทบทางตรงต่อบริษัทมีเล็กน้อย เนื่องจากในปี 67 มีการส่งออกไปสหรัฐฯ เพียง 1% จากยอดขายรวมของบริษัท แต่ผลกระทบทางอ้อมค่อนข้างมหาศาล เพราะหากพ้นระยะที่สหรัฐฯ ประกาศชะลอการจัดเก็บภาษีนำเข้า 90 วัน กลุ่มประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯอาจถูกเก็บอัตราภาษีที่แตกต่างกัน 

โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อาจถูกเก็บอัตราภาษีน้ำเข้าสูงถึงถึง36% ตามที่สหรัฐฯ ประกาศเมื่อ 2 เม.ย.68 จึงคาดว่าเศรษฐกิจทั้งในระดับภูมิภาคและโลกจะชะลอตัวรุนแรง การส่งออกระหว่างประเทศ รวมถึงการทะลักของสินค้าจากประเทศอื่นเข้ามาในประเทศไทยจะส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้น นอกจากนี้อาจเกิดภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ตามที่หลายคนวิตกกังวล

ที่ผ่านมาบริษัทยกระดับการปรับตัวให้เข้มข้นรับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกชะลอตัว แต่ยังไม่ปรับลดเป้ารายได้จากการขายทั้งปีนี้ที่คาดจะโต 5% เนื่องจากมั่นใจว่าในช่วงไตรมาส 1-2 ของปีนี้ยังสามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้ แม้สถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลังยังน่ากังวลและคาดการณ์ผลกระทบจากสงครามการค้าได้ยากแต่บริษัทเตรียมความพร้อมรองรับเรียบร้อย

แนวโน้มยอดขายในไตรมาส 2/68 คาดว่าจะเติบโตดีกว่าช่วงไตรมาส 1/68 ที่มียอดขาย 124,392 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,099 ล้านบาท เนื่องจากแนวโน้มราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง ส่วนต่างปิโตรเคมีที่ปรับตัวดีขึ้นและผู้ผลิตปิโตรเคมีในจีนประสบปัญหาการจัดหาวัตถุดิบจากสหรัฐฯ รวมถึงบางตลาดยังมีกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง หรือ HVA (High Value Added Products & Services) , การพัฒนาพอลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Polymer) และสินค้าคุณภาพราคาจับต้องได้

SCGC คอนเฟิร์มไตรมาส 2/68 ดี

"ศักดิ์ชัย ปฏิภาณปรีชาวุฒิ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (SCGC) กล่าวกับ "โพสต์ทูเดย์" ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/68 ยอดขายปรับตัวดีขึ้นกว่าไตรมาส 1/68 ทั้งในแง่ปริมาณการขายเป็นจำนวนตันและส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบแนฟทา(สเปรด)ที่สูงขึ้น หลังจากบริษัทชิงส่วนแบ่งในต่างประเทศเพิ่มขึ้น แม้ไม่ทำกำไรสูงสุด แต่ดีกว่าโรงงานไม่ได้เดินเครื่องจักร

SCGP ยอดขายกลับมา

"วิชาญ จิตร์ภักดี" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวก่อนหน้านี้ว่า แนวโน้มไตรมาส 2/68 คาด EBITDA เติบโตต่อเนื่อง จากไตรมาส 1/68 ทำได้ 4,232 ล้านบาท ผลจากปริมาณการขายมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จากกำลังซื้อในไทยที่เติบโตและยอดขายในเวียดนามฟื้นตัว โดยคงเป้าหมาย EBITDA ปี 68 อยู่ที่ 18,000 ล้านบาท

SCGD ครึ่งปีหลังฟื้นชัด

"สมิทธิ โกสีย์เจริญ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทางการเงิน บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD ประเมินแนวโน้มปี 68 คาดรายได้เติบโต 5% และมีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตมากกว่า 5% ผลจากตลาดในประเทศและต่างประเทศเติบโต

ในประเทศไทยคาดว่าจะฟื้นตัวจากการสนับสนุนนโยบายรัฐบาล เช่น สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสำหรับการซื้อ การตกแต่ง และการซ่อมแซม กระเป๋าเงินดิจิทัลต่อเนื่องระยะที่ 2 และการกลับมาของตลาดการท่องเที่ยว คาดว่าภาพรวมการฟื้นตัวจะชัดขึ้นในช่วงครึ่งหลังปีนี้

SCC ซดกำไรพิเศษ-โค้ง 2/68 ฟื้น

ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุว่า แนวโน้มผลงานของ SCC ในไตรมาส 2/68 เร่งตัวขึ้นจากไตรมาส 1/68 ด้วยทิศทางส่วนต่างระหว่างราคาผลิตภัณฑ์และราคาวัตถุดิบตั้งต้น (Spread) ปิโตรเคมีทยอยฟื้นตัวหลังต้นทุนวัตถุดิบลดลงตามราคาน้ำมัน, รายได้เงินปันผลรับเพิ่มขึ้นตามฤดูกาล, รับรู้อานิสงส์ราคาขายปูนซีเมนต์สูงขึ้นจากการปรับลดส่วนลดทางการตลาดตั้งแต่เดือน มี.ค. ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 68 ที่ 7.4 พันล้านบาท

นอกจากนี้ ในไตรมาส 2/68 ยังมีโอกาสรับรู้ส่วนแบ่งกำไรพิเศษ Goodwill ของ Chandra Asri ซึ่งถือหุ้น 30% จากการปิดดีลซื้อโรงกลั่น และปิโตรเคมีในสิงคโปร์

SCC มองผลกระทบทางตรงต่อนโยบายภาษีของสหรัฐฯจำกัด เพราะมีสัดส่วนรายได้ส่งออกไปสหรัฐฯเพียง 1% ขณะที่ผลกระทบทางอ้อมจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจและอุปสงค์ยังอยู่ระหว่างประเมินและเป็นปัจจัยต้องติดตาม

ระยะสั้นบริษัทได้ประโยชน์จากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบ ทำให้ต้นทุน Naphtha ต่ำลง อีกทั้งความได้เปรียบด้านวัตถุดิบของคู่แข่งผู้ผลิตปิโตรเคมีในจีนจะลดลงเนื่องจากจีนนำเข้าวัตถุดิบก๊าซอีเทนและโพรเพนจากสหรัฐฯ สัดส่วน 100% และ 60% ตามลำดับซึ่งจะทำให้อุปทานปิโตรเคมีจากจีนลดลง

SCC เพิ่มมาตรการรับมือสงครามการค้า โดยยกระดับความสามารถการแข่งขันเทียบเคียงผู้ผลิตระดับโลก, เพิ่มการใช้งาน AI, เพิ่มสินค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่ม, เพิ่มสัดส่วนสินค้า HVA คงคำแนะนำ TRADING ราคาเหมาะสม 180 บาท ระยะสั้นคาดหุ้นตอบรับเชิงบวกจากงบไตรมาส 1/68 ดีกว่าคาด, ทิศทางไตรมาส 2/68 เร่งตัวขึ้น, Sentiment บวกจากโอกาสได้เม็ดเงินกองทุน Thai ESGX 

ฝ่ายวิเคราะห์แนะนำเน้นเก็งกำไรรอบสั้นเป็นหลักเพราะหุ้นอยู่ในกลุ่มGlobal Playที่สถานการณ์นโยบายการค้าโลกยังเปลี่ยนแปลงได้ตลอดและมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว

SCGP ลุ้นไตรมาส 2/68 ฟื้น

ฝ่ายวิเคราะห์ปรับประมาณการปี 68-69 ขึ้นหลังอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวเร็วกว่าคาด โดยกำไรปกติในไตรมาส 1/68 คิดเป็นสัดส่วนราว 31% ของประมาณการกำไรปี 68 เดิม ฝ่ายฯจึงปรับประมาณการกำไรปี 68 เพิ่มขึ้น 14% เป็น 3,327 ล้านบาท ลดลง -14% จากปีก่อน และปี 69 เพิ่มขึ้น 10% แตะ 3,759 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน เพื่อสะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจ Packaging Paper ที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด 

โดยฝ่ายวิเคราะห์มองว่ากำไรปกติปี 68 จะยังคงลดลงจากปีก่อน เนื่องจากการรับรู้ผลขาดทุนเพิ่มเติมและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนใน Fajar แบบเต็มปี รวมถึงระดับการบริโภคในหลายประเทศที่ชะลอตัวลงจากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจอันเกิดจากนโยบายสงครามการค้าของสหรัฐฯ

หากมองไปปี 69 คาดผลประกอบการจะสามารถกลับมาเติบโต YoY ได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 64 หลังได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของระดับการบริโภคทั่วโลกและการพลิกเป็นกำไรของ Fajar คาดเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4/68 ถึง ไตรมาส 1/69

เบื้องต้นคาดกำไรปกติในไตรมาส 2/68 ที่ระดับ 900-1,000 ล้านบาททรงตัวและเติบโตเล็กน้อยจากไตรมาส 1/68 แม้คาดปริมาณขายบรรจุภัณฑ์ในไทยมีโอกาสชะลอตัวลงจากการเข้าสู่ช่วงวันหยุดสงกรานต์ และคาดอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรีไซเคิลมีโอกาสลดลงตามผลของฤดูกาล เพราะคาดปริมาณขายบรรจุภัณฑ์ในเวียดนามและอินโดนีเซียที่ฟื้นตัวหลังผ่านช่วงวันหยุดตรุษจีนและรอมฎอนจะสามารถชดเชยผลกระทบได้

ขณะที่คาดกำไรปกติจะยังคงลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน(YoY)จากการรับรู้ผลขาดทุนของ Fajar ที่เพิ่มขึ้นและต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้นหลังการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็นหลัก หากมองไปในช่วงครึ่งหลังปี68 กำไรปกติมีแนวโน้มลดลงจากช่วงครึ่งปีแรก(HoH)ตามปัจจัยฤดูกาล แต่มีโอกาสที่จะกลับมาเติบโตจากปีก่อนได้จากฐานที่ต่ำในปีก่อน ตามผลขาดทุนของ Fajar ที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง

ผลจากการปรับประมาณการขึ้นส่งผลให้ได้ราคาเหมาะสมใหม่ ณ สิ้นปี 2568 ที่ 16 บาทต่อหุ้น หากรวมผลตอบแทนจากเงินปันผลหลังหักภาษี ผลตอบแทนจากการลงทุนใน SCGP ในระยะเวลา 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ 17.5% โดยฝ่ายวิเคราะห์มองว่าผลประกอบการที่คาดผ่านจุดต่ำสุดของรอบไปแล้วในไตรมาส 4/67 และอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของราคาหุ้นได้ในระยะกลาง-ยาวจึงคงคำแนะนำซื้อ ราคาเหมาะสม 16 บาท

SJWD กำไรสุทธิลดลง

บล.ทิสโก้ แนะนำซื้อ "SJWD" มูลค่าที่เหมาะสม 13.70 บาท โมเมนตัมเชิงบวกอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่มธุรกิจหลัก การเติบโตคาดว่าจะขับเคลื่อนโดยธุรกิจขนส่ง ยานยนต์ การดำเนินงานในต่างประเทศ คลังสินค้าทั่วไป และคลังสินค้าห้องเย็น SJWD มีเป้าหมายที่จะเพิ่มบริการโลจิสติกส์สำหรับกลุ่ม SCC จาก 60% ของปริมาณโลจิสติกส์ทั้งหมดของ SCC ในปีที่ผ่านมา เป็น 65% ในปี 68 

กลุ่มยานยนต์คาดว่าจะมีส่วนช่วยในการเติบโตของรายได้ โดยได้รับการสนับสนุนจากเป้าหมายการผลิตของ BYD ที่ 60,000 คันในปีนี้ รายได้จากต่างประเทศคาดว่าจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจาก SCG International Vietnam นอกจากนี้ รายได้จากคลังสินค้าจะได้รับประโยชน์จากการเริ่มดำเนินการของสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่หลายแห่ง RDC, PACS สระบุรี เฟส 2, PACR (Alpha รังสิต), SCG Nichirei เฟส 3 และ Alpha บางกระดี่ ที่มีผู้เช่าเต็ม กำหนดเริ่มดำเนินการภายในเดือนตุลาคม 2568

แนวโน้มกำไรปกติในไตรมาส 2/68 ของ SJWD คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่ากำไรสุทธิอาจลดลงเนื่องจากไม่มีกำไรครั้งเดียวจำนวน 339 ล้านบาทจากการซื้อกิจการ SWIFT ในไตรมาส 2/67 ปัจจัยตามฤดูกาลอาจมีส่วนทำให้เกิดการลดลงจาไตรมาสก่อนหน้าด้วย 

ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความเสี่ยงจากภาษีของสหรัฐฯ SJWD จะให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพด้านต้นทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนที่มีอยู่มากกว่ากิจกรรม M&A ใหม่ เงินสดส่วนเกินจะถูกจัดสรรไปยังการชำระหนี้ บริษัทวางแผนที่จะขายคลังสินค้าหนึ่งแห่ง มูลค่า 600-800 ล้านบาทให้กับ REIT ในไตรมาส 3/68 โดยมีคลังสินค้าเพิ่มเติม 2-3 แห่งตามมาในช่วงปลายไตรมาส 3 หรือต้นไตรมาส 4 รายได้จะนำไปใช้สำหรับการลงทุนซ้ำและการลดหนี้

ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น "บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC" เปิดการซื้อขายวันนี้ (23 พ.ค.68) ณ เวลา 10.57 น. ที่ 171 บาท เพิ่มขึ้น 1 บาท คิดเป็น +0.59%

หุ้น "บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP" อยู่ที่ 16.70 บาท ลดลง -0.10 บาท คิดเป็น -0.60%

หุ้น "บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGD" อยู่ที่ 4.04 บาท เพิ่มขึ้น 4.04 บาท คิดเป็น +0.50%

หุ้น "บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SJWD" อยู่ที่ 8.40 บาท ลดลง -0.10 บาท คิดเป็น -1.18%

หุ้น "บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์ จํากัด (มหาชน) หรือ Q-CON" อยู่ที่ 7.40 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

หุ้น "บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL" อยู่ที่ 5.30 บาท ลดลง -0.05 บาท คิดเป็น -0.93%

ข่าวล่าสุด

"เท้ง ณัฐพงษ์" ลั่น! เลือก“รัฐบาลประชาชน” พาประเทศพ้นเทา-ทุจริต