ตลาดหุ้นพัง! ตลท.เร่งแก้กฎหมายดึงต่างชาติจดทะเบียน-แก้เกณฑ์ซื้อหุ้นคืน

ตลาดทุนไทยปี 2568 อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญ หลังจากเผชิญความผันผวนทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนผนึกกำลังเร่งดำเนินมาตรการฟื้นฟูความเชื่อมั่นนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนกองทุนระยะยาว

การส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในตลาดทุน และการยกระดับมาตรฐานด้านธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียน แต่นั่นจะสามารถฟื้นขวัญกำลังใจของนักลงทุนไทยกลับมาได้จริงหรือ ในเมื่อสภาวะตลาดหุ้นไทยครานี้ไร้สิ่งดึงดูดใจ ดัชนีหุ้นมีแต่ทรงกับทรุด! นับวันยิ่งไหลลงเข้าใกล้ช่วง "วิกฤติโควิด-19" 

ตลาดหลักทรัพย์ฯ คือความหวังและปราการด่านสำคัญในการเรียกคืนแรงศรัทธานักลงทุน พร้อมความเชื่อที่ว่าอย่างไรเสียตลาดหุ้นไทยคงเป็นศูนย์กลางความรู้ แหล่งระดมทุนชั้นยอด อีกทั้งเป็นแพลตฟอร์มสำคัญที่ให้นักลงทุนได้ฝากผีฝากไข้ได้แม้ยามตลาดผันผวน

"ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์" ประธานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยืนยันไม่นิ่งนอนใจและยังคงหมายมั่นที่จะพลิกฟื้นความเชื่อมั่นและแรงศรัทธาให้หวนคืนตลาดทุนไทยอีกครั้ง โจทย์สำคัญนั่นก็คือ ทำอย่างไรให้พื้นฐานของบริษัทจดทะเบียนและดึงเม็ดเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้น เพื่อให้นักลงทุนทุกคนกลับมาเชื่อมั่นอีกครั้ง

แน่นอนว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯพยายามดำเนินมาตรการเร่งด่วน ทั้ง "โครงการ Jump+" เพื่อปลดล็อกศักยภาพบริษัทจดทะเบียนที่มีศักยภาพ แต่ยังมูลค่าต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็น (Undervalued) ให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยมาตรการจูงใจด้านภาษี ซึ่งที่ผ่านมาทางกระทรวงการคลังพิจารณามาตรการจูงใจด้านภาษี ทั้งการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือ ยกเว้นภาษีเงินปันผล (Dividend) ส่วนที่เพิ่มขึ้น 

รวมถึง "ดึงบริษัทในประเทศและต่างประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรม New S-Curve" ทั้งกลุ่มธุรกิจ Healthcare, เทคโนโลยีและดิจิทัล สามารถจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมถึงดึงบริษัทที่ขอรับการส่งเสริมจาก BOI เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้เช่นกัน

อีกทั้งจัดโครงสร้างหุ้นแบบ Dual-Class Shares เพื่อให้ผู้ก่อตั้งธุรกิจยังคงมีอำนาจควบคุมบริษัทได้ แม้จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการ

นอกจากนี้ ศึกษา "ผ่อนคลายกฎเกณฑ์และเงื่อนไขการซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock Buyback) ของบริษัทจดทะเบียน" เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดเดิมที่กำหนดให้ซื้อหุ้นคืนได้ไม่เกิน 10% ของทุนจดทะเบียน หากสามารถแก้กฎหมายได้จะช่วยให้บริษัทจดทะเบียนมีความคล่องตัวในการซื้อหุ้นคืนได้ง่ายขึ้น เพิ่มความเชื่อมั่นในอนาคต

ท้ายที่สุดที่กำลังพิจารณา คือ "โครงการออมเพื่อซื้อหุ้นไทย" ภายใต้แนวคิดยกเว้นภาษีสำหรับเงินลงทุนในหุ้นระยะยาว คล้ายคลึงกับโมเดล Nippon Individual Savings Account (NISA) ของประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างวินัยการออมและเพิ่มฐานนักลงทุนไทยในระยะยาว

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯศึกษาแนวทางยกเว้นภาษีเงินลงทุนในหุ้นระยะยาว และอยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง

อย่างไรก็ดี มาตรการดังกล่าวข้างต้นนี้ ประธานตลาดหลักทรัพย์ฯเสนอแนวทางการแก้ไขกฎหมายแบบเร่งด่วน (Omnibus Law) ต่อรัฐบาล ทั้งกฎหมายหลักทรัพย์, กฎหมายมหาชน , พรบ.ส่งเสริมการลงทุน และกฎหมายการให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99ปี ซึ่งรัฐบาลอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทาง หากได้รับการอนุมัติ ส่วนตัวคาดหวังว่าจะสามารถแก้ไขกฎหมายและเห็นผลเป็นรูปธรรมได้ภายใน 3-4 เดือน หรือชัดเจนภายในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้

"หุ้นไทยมีหลายบริษัทที่ดี ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีจำนวนมาก นักลงทุนต้องใจเย็นๆ ศึกษาข้อมูล อย่าตื่นตกใจแล้วขาย เพราะถ้าเราไม่ขายก็ไม่ขาดทุน เลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี อย่าเล่นหุ้นตามข่าวลือ พิจารณางบการเงิน อย่าลืมว่าราคาหุ้นมีขึ้นและลดลง อย่ารีบร้อน"

ความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยถือเป็นหัวใจสำคัญที่กำหนดทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว การดำเนินมาตรการกระตุ้นตลาดและการสร้างเสถียรภาพในระบบการเงินจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ตลาดทุนกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และหากมาตรการที่ดำเนินการนั้นสามารถสร้างผลลัพธ์เชิงบวกได้ ตลาดทุนไทยมีโอกาสกลับมาเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่ดึงดูดทั้งนักลงทุนในประเทศและต่างประเทศได้เช่นกัน