posttoday

MTW ปี 66 กำไรกว่า 65 ล้าน พุ่ง 195% บอร์ดไฟเขียวแจกฟรีวอร์แรนต์ 2:1

24 กุมภาพันธ์ 2567

MTW โชว์กำไรปี 66 พุ่ง 195% แตะ 65.30 ล้านบาท รับกระแสมอเตอร์ไซค์ EV ประกอบกับนโยบายภาครัฐส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ได้ประโยชน์ไปอีกไม่น้อยกว่า 3-5 ปี เดินหน้ารับอานิสงส์ประเทศไทยสู่ EV Hub หนุนปี 67 โตต่อ บอร์ดไฟเขียวแจกวอร์แรนต์ 2:1 ฟรี! ให้ผู้ถือหุ้นเดิม อายุ 1 ปี

นายกฤตเมธ ตั้งพิชญโพธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมคทูวิน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTW เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิ 65.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 195.48% จากปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 22.10 ล้านบาท 

สำหรับรายได้จากการขายของกลุ่มบริษัท อยู่ที่ 527.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111% จากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการมุ่งเน้นธุรกิจรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่ 471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 199% จากปีก่อน อีกทั้งเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่เข้ามาสนับสนุนอัตรากำไรของกลุ่มบริษัทได้อย่างแข็งแกร่ง รับกระแสความนิยมรถจักรยานยนต์ EV ที่เพิ่มขึ้น และโครงการภาครัฐสนับสนุนจากการผลักดันประเทศไทยกำลังพัฒนาเป็นศูนย์กลาง EV Hub ระดับภูมิภาค  

ทั้งนี้ การดำเนินธุรกิจจำหน่ายรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า บริหารงานภายใต้บริษัทย่อย คือ บริษัท เดโก้ กรีน เอนเนอร์จี จำกัด (DECO) เป็นธุรกิจที่ได้รับสิทธิเข้าร่วมนโยบายส่งเสริมการใช้รถจักรยานยนต์ไฟฟ้าจากภาครัฐ โดยสิทธิประโยชน์ที่กลุ่มบริษัทได้รับ คือ เงินอุดหนุนจำนวน 18,000 บาท/คัน กระตุ้นกำลังซื้อให้ผู้บริโภคซื้อรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาที่ถูกลง จัดจำหน่ายภายใต้เครื่องหมายการค้า DECO 

ซึ่งบริษัทมีการจำหน่ายหลักผ่านตัวแทนจำหน่ายที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยปัจจุบันมีรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าที่ขึ้นทะเบียน 20 รุ่น และได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐจำนวน 9 รุ่น มีช่องทางการจำหน่ายผ่านตัวแทน และสาขามากกว่า 200 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเป็นทั้งศูนย์จำหน่าย และศูนย์บริการหลังการขาย

ขณะที่ธุรกิจผลิตและจำหน่ายเสื้อผ้าสำเร็จรูป ในปี 2566 มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 56 ล้านบาท ลดลงราว 39% จากปีก่อน เนื่องจากผลกระทบการส่งสินค้าในกลุ่มลูกค้าหลัก เช่น เมียนมา ในช่วงปลายปีด่านปิด ทำให้ชะลอการจัดส่งสินค้าในช่วงดังกล่าว และค่าเงินบาท ส่งผลให้ลูกค้าแอฟริกา ซึ่งปกติจะเดินทางมาสั่งสินค้าในประเทศไทยหดตัวลง 

โดย MTW จัดจำหน่ายภายใต้ตราสินค้า ซึ่งจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัท ได้แก่ "Anoko" "Noble" "Over Bick'C" และ "S Sport" และตราสินค้าอื่นๆ เช่น "Super Kool" ลักษณะการจำหน่ายสินค้าของบริษัท แบ่งเป็นการขายปลีก และขายส่ง 

สำหรับการขายในราคาปลีกจะเป็นการขายผ่านช่องทางหน้าร้านสาขาทั้ง 2 สาขาของบริษัทเท่านั้น ส่วนการขายส่ง สามารถขายได้ทั้งผ่านหน้าร้านสาขาและโรงงาน ซึ่งปัจจุบันหน้าร้านสาขาของบริษัทมีทั้งหมด 2 สาขา ซึ่งอยู่ที่อาคาร โบ๊เบ๊ ทาวเวอร์ เป็นทำเลที่ตั้งอยู่ในแหล่งที่เป็นแหล่งซื้อขายปลีก-ส่งเสื้อผ้าสำเร็จรูปหลักของประเทศไทย และเป็นแหล่งซื้อ-ขายของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัท

ขณะเดียวกัน ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 1 (MTW-W1) จำนวนไม่เกิน 337,000,000 หน่วย เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทตามสัดส่วนการถือหุ้น (Right Offering) โดยไม่คิดมูลค่า ในอัตราส่วน 2 หุ้นสามัญเดิมต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ ทั้งนี้หากมีเศษของใบสำคัญแสดงสิทธิเกิดขึ้นจากการคำนวณให้ปัดเศษดังกล่าวทิ้ง 

ทั้งนี้ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 1 (MTW-W1) มีกำหนดอายุ 1 ปี นับจากวันที่ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ และมีราคาใช้สิทธิของใบสำคัญแสดงสิทธิที่ 1.00 บาท  

 

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 2567 ในวันที่ 9 เม.ย.2567 เพื่อพิจารณาอนุมัติจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน เพื่อรองรับใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 1 (MTW-W1) ดังกล่าว และยังไม่มีแผนเพิ่มทุนเพื่อลงทุนรอบใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ขยายโรงงาน เพื่อรองรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในธุรกิจจักรยานยนต์เรียบร้อยแล้ว 

ล่าสุด ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้ทบทวนข้อตกลงในการจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่ร่วมกับพันธมิตร โดยยกเลิกแผนการลงทุนในธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ ด้วยการพิจารณาถึงเงื่อนไขและประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับสูงสุด ขณะที่นายกฤตเมธ พร้อมหุ้นส่วนจากต่างประเทศ กลับมาเดินหน้าทำโรงงานผลิตแบตเตอรี่เอง หลังจากที่ยกเลิกการร่วมทุนไป ซึ่งคาดว่าจะเกิดประโยชน์กับเดโก้เต็มๆ 

อย่างไรก็ดี ในปี 2567 กลุ่มบริษัทได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือ BOI ระยะเวลา 3 ปี และเพิ่มสูงสุดที่ 5 ปี หากมีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ รวมทั้งได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าชิ้นส่วน ซึ่งกลุ่มบริษัทได้ 5 ชิ้นส่วน จากทั้งหมด 9 ชิ้นส่วน ทำให้ใน ภาพรวมการเติบโตของ MTW ปี 2567 จะแข็งแกร่งต่อเนื่องและเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ควบคู่การควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  
 
นายกฤตเมธ กล่าวว่า ในปี 2566 เป็นอีกก้าวความสำเร็จของ MTW หลังย้ายเข้าไปโรงงานใหม่ในช่วงเดือน ก.ย.2566 ทำให้สามารถรองรับกำลังการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าได้ถึง 200,000 คัน/ปี อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4/2566 ยังอยู่ในช่วงย้ายโรงงานใหม่ และอบรมพนักงาน จึงทำให้การผลิตและส่งมอบรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ยังทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ได้เห็นความชัดเจนในปีนี้ที่ดีขึ้นตามลำดับ 

รวมทั้งการได้สิทธิประโยชน์การส่งเสริมจากรัฐบาลในการยกเว้นภาษีชิ้นส่วน 5 ชนิด ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา และนำส่งไปรับรองที่สถาบันยานยนต์ จะสนับสนุนต้นทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และอยู่ระหว่างการขอรับสิทธิประโยชน์ตามมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ระยะที่ 2 หรือ EV 3.5 ในช่วงระยะเวลา 4 ปี (2567-2570) ของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV)