posttoday

บลจ.กรุงศรี ชี้เป้าดัชนีสิ้นปีมีลุ้น 1,552 จุด ชู 5 ธีมลงทุนเข้าตา

15 กุมภาพันธ์ 2567

"สุภาพร ลีนะบรรจง" บลจ.กรุงศรี (KSAM) ย้ำภาพรวมปี 2567 ตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาโตเด่น ลุยพัฒนาระบบออนไลน์รองรับผู้ลงทุน ฟาก "ศิระ คล่องวิชา"คาดดัชนีสิ้นปีนี้ แตะระดับ 1,552 จุด เพิ่มขึ้น 9.61% จากสิ้นปี 2566 บนสมมติฐาน EPS 96.8 บาท ค่า PER 16 เท่า ชู 5 ธีมลงทุนน่าสน

     นางสุภาพร ลีนะบรรจง กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด (KSAM) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้ IMF คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มขยายตัวได้ 2.9% โดยเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีแนวโน้มขยายตัวได้ 1.4% นำโดยสหรัฐ ในส่วนของ GDP กลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีแนวโน้มเติบโต 4% ซึ่งปรับลดจากคาดการณ์เดิมจากความกังวลในภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศจีน อย่างไรตามความเสี่ยงที่อาจจะกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกก็น้อยลงเช่นกัน 

     “ปีนี้บรรยากาศการลงทุนทั่วโลกมีความชัดเจนมากขึ้น Earnings ของตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยตลาดคาดว่าจะโตที่ 10% ซึ่งตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนายังมีแนวโน้มฟื้นตัวจากแรงหนุนของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าฝั่งประเทศที่พัฒนาแล้ว แนะลงทุนกองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้นประเทศกำลังพัฒนา และหุ้นกลุ่มที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัว”

     ด้านค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าจากการปรับลดดอกเบี้ยของ Fed ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ นอกจากนี้คาดว่าไทยจะมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้มากขึ้นจากการท่องเที่ยวและการส่งออกที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยคาดว่าสิ้นปี 2567 เงินบาทจะอยู่ที่ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ  

     “แนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงถือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนาเพราะมีแนวโน้มที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลเข้ามาลงทุนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ตลาดหุ้นประเทศกำลังพัฒนายังมีแนวโน้มฟื้นตัวจากแรงหนุนของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าฝั่งประเทศที่พัฒนาแล้ว และการฟื้นตัวของ Earnings ช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นโดยรวมปรับเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย”

     ขณะที่กองทุนรวมในปีที่ผ่านมายังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัท โดยมี AUM ประมาณ 73% ของ AUM รวมซึ่งการเติบโตที่แข็งแกร่งในปีที่ผ่านมาได้รับประโยชน์จากเงินลงทุนที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องมูลค่ารวมกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะเงินลงทุนในกองทุน Term fund  กองทุน FIF และกลุ่มกองทุนเพื่อลดหย่อนภาษี ทั้งนี้กองทุนรวมของ บลจ.กรุงศรี มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ของอุตสาหกรรม มีอัตราการเติบโตที่ 6% (อุตสาหกรรม 5.46%) ด้านฐานลูกค้าก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 4 หมื่นบัญชี คิดเป็น 9% ของฐานลูกค้าในปีก่อน

     ส่วนปี 2567 บริษัทยังคงมุ่งเน้นการบริหารจัดการกองทุนควบคู่ไปกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม ให้ความสำคัญกับการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆในวงกว้าง เน้นการพัฒนาบริการในรูปแบบดิจิทัล โดยเฉพาะบน @ccess Mobile เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการทั้งลูกค้ากองทุนรวมและลูกค้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ รวมทั้งเพิ่มตัวแทนขายอิสระให้มากขึ้นเช่นกัน

     สำหรับแผนการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในปีนี้จะมีการเสนอกองทุนขาย Thai ESG และกองทุนกลุ่ม FIF ที่มีความน่าสนใจและเหมาะกับสภาวะตลาดเพิ่มเติม โดยเร็วๆนี้จะมีการเสนอขายกองทุนที่มีการกระจายลงทุนในหุ้นโลกคุณภาพดี เป็นต้น

 

GDP ปีนี้โต 3.7%

บลจ.กรุงศรี ชี้เป้าดัชนีสิ้นปีมีลุ้น 1,552 จุด ชู 5 ธีมลงทุนเข้าตา      นายศิระ คล่องวิชา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการลงทุน บลจ.กรุงศรี เปิดเผยว่า ปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ประกอบด้วย โอกาสในการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่ลดลงเหลือประมาณ 50% ภาพรวมอัตราดอกเบี้ยนโยบายเกือบทุกประเทศทั่วโลกในปีนี้จะเริ่มเข้าสู่วัฎจักรอัตราดอกเบี้ยขาลง เนื่องจากแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อได้ทยอยปรับตัวลดลงตามลำดับ

     ขณะที่ความตึงตัวของตลาดแรงงานเริ่มคลี่คลายลงเช่นกัน คาดว่าเฟดจะยังคงมีการปรับลดปริมาณถือครองพันธบัตร ถือได้ว่ายังคงใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวเหลืออยู่

     แต่ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ การเลือกตั้งของสหรัฐ ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นอกจากนี้ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับช่วงเวลาในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงครั้งแรก รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงรวมตลอดทั้งปีที่คาดว่าจะอยู่ในช่วงระหว่าง 75 – 150 bps นั้น ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดตราสารหนี้ทั่วโลกมีความผันผวนรุนแรงได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 ที่อาจทำให้เกิดแรงเทขายขึ้นได้เป็นระยะ ตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะประกาศออกมาได้เช่นกัน

     ด้านเศรษฐกิจไทยปีนี้คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มขยายตัว 3.7% (ยังไม่รวมผลของนโยบาย Digital Wallet) โดยการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มที่จะขยายตัว 3.8% ภาคการส่งออกมีแนวโน้มเติบโต 5.3% ทั้งนี้ กลุ่มประเทศในตลาดหลักที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐ ญี่ปุ่น และอาเซียน ขณะที่การส่งออกไปยังจีน และยุโรป ปรับตัวลดลง การใช้จ่ายภาครัฐมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ ส่วนเงินเฟ้อของไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 0.47% ในปีนี้ จากระดับ 1.3% ในปีที่แล้ว 

     ส่วนปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการส่งออก และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนของนโยบาย Digital Wallet และภัยแล้งจากเอลนีโญ

     สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในปี 2567 คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงหนึ่งครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ขึ้นกับภาพรวมการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นหลัก

ดัชนีสิ้นปี 1,552 จุด 

     อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทยปี 2567 ยังมีความน่าสนใจจากการปรับตัวลดลงมาและมีอัตราการเติบโตของผลกำไรบริษัทจดทะเบียนสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยปัจจัยบวกสำคัญในระยะสั้นคือความชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยเฉพาะนโยบายเงินดิจิทัลคาดการณ์ว่าแนวโน้มหุ้นไทยจะได้รับผลบวกจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน

     รวมถึงค่าเงินบาทที่เริ่มมีแนวโน้มแข็งค่ามากขึ้นและมีเม็ดเงินของนักลงทุนต่างชาติที่กลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยหลังจากขายออกไปกว่า 1.92 แสนล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยคาด SET Index ณ สิ้นปี 2567 จะอยู่ที่ 1,552 จุด เพิ่มขึ้น 9.61% จากสิ้นปี 2566 บนสมมติฐาน EPS ที่ 96.8 บาท และค่า PER ที่ 16 เท่า

     “แนวโน้มการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศปี 2567 มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้นหากเปรียบเทียบกับช่วงอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาแต่อาจมีความผันผวนอยู่บ้าง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ได้ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับที่น่าลงทุนมากขึ้น ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของไทยปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่ไม่สูงเกินไปและอยู่ในระดับขอบล่างของเงินเฟ้อเป้าหมายที่ธปท.กำหนดไว้ที่ร้อยละ 1-3 ดังนั้นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนมีโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มได้อีก การปรับอายุคงเหลือเฉลี่ยกองทุนด้วย กลยุทธ์เชิงรุกช่วยเพิ่มโอกาสสร้างอัตราผลตอบแทนส่วนเพิ่มให้กับกองทุนได้จากความผันผวนของตลาดตลอดทั้งปี ทั้งนี้ แนะนำให้เพิ่มการลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุคงเหลือเฉลี่ยที่ยาวขึ้นควบคู่ไปกับการลงทุนในหุ้นกู้ภาคเอกชนคุณภาพดี”

     ธีมการลงทุนที่น่าสนใจในปี 2567 ได้แก่ 1.การลงทุนในตราสารหนี้เพราะได้ประโยชน์จากการที่ดอกเบี้ยสหรัฐกลับตัวเป็นขาลง  โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFTRB และ KF-CSINCOM  2.การลงทุนในตลาดประเทศกำลังพัฒนาซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนตัว  โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KF-EM, KFINDIA  และ KFVIET  

     3.การลงทุนหุ้นคุณภาพสูงที่มีหนี้อยู่ในระดับต่ำ มีอัตราการทำกำไรสูง มีกระแสเงินสดดี และมีความทนทานในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ดี โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFGBRAND 4.การลงทุนในกลุ่มที่มีปัจจัยบวกโดดเด่นเฉพาะตัว เช่น หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ที่ได้รับแรงหนุนจากผลประกอบการที่มีแนวโน้มเติบโตได้สูงกว่าตลาดโดยรวม รวมถึงปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาวเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์และการฟื้นตัวของตลาดเซมิคอนดักเตอร์ โดยมีกองทุนแนะนำ คือ KFHTECH  และ 5.การลงทุนในหุ้นไทยที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ดี

     “การจัดพอร์ตลงทุนปีนี้ นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์เพื่อลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ และลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ แนะนำให้นักลงทุนสร้างพอร์ตการลงทุนหลัก(Core Portfolio)ด้วยกองทุนกรุงศรี The One ทางเลือกที่ตอบทุกเป้าหมายผลตอบแทนโดดเด่นด้วยการผสานจุดแข็งของกลุ่มกรุงศรีและพันธมิตรด้านการลงทุนระดับโลกมีการคัดสรรกองทุนเด่นที่มีผลงานดีเข้ามาอยู่ในพอร์ตการลงทุน มีการกระจายการลงทุนทั่วโลกปรับพอร์ตอย่างรวดเร็ว  

    โดยกรุงศรี The One มี 3 กองทุนให้เลือกลงทุนตามเป้าหมายผลตอบแทนที่ต้องการและระดับความเสี่ยงที่สามารถรับได้ มีตั้งแต่ความเสี่ยงต่ำไปจนถึงความเสี่ยงสูง ได้แก่  KF1MILD ที่มีเป้าหมายผลตอบแทนในการชนะเงินเฟ้อ KF1MEAN เน้นรักษาสมดุลของผลตอบแทนและความเสี่ยง และ KF1MAX ที่เน้นโอกาสสร้างผลตอบแทนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้การกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายและลงทุนตามธีมที่โดดเด่นจะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างการเติบโตที่ดีของพอร์ตการลงทุนในระยะยาวได้”นายศิระ กล่าว