posttoday

รู้ก่อนซื้อ! 12 หุ้นอาหาร-เครื่องดื่ม ปี67 ใครปัง-พังสุด?

07 มกราคม 2567

หุ้นกลุ่ม "อาหารและเครื่องดื่ม" ปี 2567 ฟ้าเปิด มาตรการรัฐ e-Refund และขยายเวลาสถานบริการปิดตี 4 หนุน พร้อมจับตาต้นทุน-ราคาน้ำตาล-ทูน่า-เนื้อสัตว์ หนุนผลงานครึ่งปีแรกมาร์จิ้นฉ่ำ

     นับตั้งแต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกระตุ้นการบริโภค ทั้ง มาตรการลดหย่อนภาษี Easy E-Receipt สูงสุด 50,000 บาท ง่ายๆคือ สามารถนำเงินที่ซื้อสินค้าและบริการที่เข้าข่ายนำมาหักภาษีได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาท เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. - 15 ก.พ.67 โดยต้องมีหลักฐานเป็นใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ยื่นช่วงจ่ายภาษีปี 67 ซึ่งหลายฝ่ายก็คาดว่ามาตรการนี้จะช่วยเพิ่มเงินหมุนเวียนในระบบราว 70,000 ล้านบาท หรือกระตุ้น GDP ปีนี้เพิ่มขึ้นอีก 0.18% 

     นอกจากนี้ยังมีนโยบายขยายเวลาสถานบริการปิดตี 4 และล่าสุดกับการปรับลดภาษีสุราพื้นบ้านเหลือ 0% เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นความหวังที่จะช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศให้เพิ่มขึ้น และนั่นจะช่วยให้หุ้นในกลุ่ม "อาหารและเครื่องดื่ม" ได้รับอานิสงส์เช่นกัน

     ผู้สื่อข่าว "โพสต์ทูเดย์" ได้รวบรวมข้อมูล "หุ้นกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม" ปี 2567 โดยอ้างอิงตัวเลขมาร์เก็ตแคปส์ ณ วันที่ 4 ม.ค.67 สูงสุดในกลุ่ม และ IAA Consensus มีการประเมินกำไรปี 2567 พบมี 12 หุ้นที่ติดอันดับ รายละเอียดดังนี้คือ 1.CPF 2.CBG 3.TU 4.OSP 5.ITC 6.BTG 7.M 8.RBF 9.SAPPE 10.TFG 11.ICHI และ 12.TVO

รู้ก่อนซื้อ! 12 หุ้นอาหาร-เครื่องดื่ม ปี67 ใครปัง-พังสุด?

 

ไฮซีซั่นเครื่องดื่ม-อาหาร

      ฝ่ายวิเคราะห์ บล.หยวนต้า(ประเทศไทย) ระบุว่า ราคาน้ำตาลโลก (SB1: Generic 1st 'SB' Future) อิงจาก Bloomberg อยู่ที่ 20.2 USD/lb ปรับตัวลดลง -27.9% จากจุดสูงสุด ณ วันที่ 11 มิ.ย. 66 ที่ 28 USD/lb. จากผลผลิตน้ำตาลของประเทศบราซิลที่เพิ่มขึ้น (ซึ่งเป็นผู้ส่งออกลำดับ 1 ของโลก คิดเป็นสัดส่วน 67% ของปริมาณการส่งออกทั่วโลก) ส่งผลให้ต่อปริมาณ Supply น้ำตาลทั่วโลกคลายตัวมากขึ้นหลังจากปัจจัยกดดันก่อนหน้าที่อินเดีย (ผู้ส่งออกลำดับที่ 2 ของโลก) มีการจำกัดปริมาณการส่งออกในปัจจุบัน

      ส่วนราคาเม็ด PET Resin ในปัจจุบัน (อิงจากบริษัท Variety Interplast) อยู่ที่ 39.5 บาท/กก. ลดลง 17.7% YTD ตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงและในปี 2567 ฝ่ายฯคาดราคาน้ำมันมีโอกาสปรับตัวลงต่อจากเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงถดถอยซึ่งจะเป็นลบต่ออุปสงค์น้ำมันทั่วโลก แต่เป็นบวกต่อแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้น(Gross Profit Margin : GPM) ของกลุ่มเครื่องดื่ม

      โดยฝ่ายวิเคราะห์ประเมินแนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มเครื่องดื่มจะกลับมามีสีสันอีกครั้งในไตรมาส 1-2 ของปี 2567 คาดจะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY ได้ต่อเนื่องแม้มีฐานที่สูง จากราคาต้นทุนวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์ของกลุ่มที่ปรับลง ประกอบกับการเริ่มเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนที่เป็นช่วง High Season ของธุรกิจ 

รู้ก่อนซื้อ! 12 หุ้นอาหาร-เครื่องดื่ม ปี67 ใครปัง-พังสุด?      ฝ่ายฯประเมินว่าหุ้นที่จะได้ประโยชน์มากที่สุดจากราคาน้ำตาลในตลาดโลกที่ลดลง คือ SAPPE และ CBG เนื่องจากมีสัดส่วนการส่งออกสูง 82% และ 50% ตามลำดับ และมีสัดส่วนน้ำตาลต่อรายได้รวมอยู่ที่ราว 5% และ 4% ตามลำดับ (สินค้าเครื่องดื่มที่ขายต่างประเทศจะอิงน้ำตาลโควต้า ค. ซึ่งผันผวนตามราคาน้ำตาลในตลาดโลก

     ส่วนสินค้าในประเทศจะอิงจากราคาน้ำตาลโควต้า ก. หรือน้ำตาลในประเทศ ซึ่งเป็นไปตามราคาประกาศ และไม่ผันผวนตามราคาตาดโลก) ฝ่ายฯชอบทั้ง SAPPE และ CBG จากแนวโน้มผลประกอบการที่จะเติบโตเด่นในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 แนะนำ “เก็งกำไร” จากการปรับลงของราคาน้ำตาลในตลาดโลก

      ขณะที่ กลุ่มเครื่องดื่มที่เน้นการบริโภคในประเทศเป็นหลัก อาทิ OSP, ICHI, HTC แม้ว่าจะไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากราคาน้ำตาลโลกที่ปรับตัวลดลง แต่จะช่วยจำกัดความเสี่ยงในการปรับขึ้นของราคาน้ำตาลในประเทศช่วยคลายความกังวลของตลาด และทำให้มีโอกาสปรับลงตามทิศทางราคาน้ำตาลในตลาดโลกได้

     นอกจากนี้ เป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ e-Refund และการขยายเวลาสถานบริการปิดตี 4 เป็นต้น ซึ่งจะช่วยหนุนการบริโภคในประเทศ ส่วนนโยบายเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทหากเกิดขึ้นจริงจะเป็นอีกหนึ่งแรงหนุนการบริโภค แต่ฝ่ายฯยังไม่ให้น้ำหนัก และประเมินแนวโน้มกำไรปี 2567 ของกลุ่มเครื่องดื่ม 7 บริษัทภายใต้ Coverage ที่ 9,659 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.1% YoY

กลุ่มอาหารเครื่องดื่มปี67สวย

      ฝ่ายวิเคราะห์ยังคงน้ำหนักการลงทุนของกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มที่ “มากกว่าตลาด” หลังปัจจัยกดดันด้านต้นทุนคลี่คลายมากขึ้นและรายได้ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อ ฝ่ายฯแนะนำเก็งกำไร หุ้น CBG ราคาเป้าหมาย 78 บาท และ SAPPE ราคาเป้าหมาย 83 บาท ให้เป็นตัวแทนผู้ส่งออกเครื่องดื่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำตาลและวัตถุดิบอื่นๆที่มีแนวโน้มปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ประมาณการของฝ่ายมี Upside 

     และ ฝ่ายฯแนะนำ “ซื้อ” OSP ราคาเป้าหมาย 34 บาท , ICHI ราคาเป้าหมาย 18.40 บาท และ HTC ราคาเป้าหมาย 19 บาท เป็นตัวแทนกลุ่มเครื่องดื่มที่เน้นการขายในประเทศ และราคาปัจจุบันปรับลดลงซื้อขายบน PER67 เพียง 22.5 , 15.9 และ 9.6 เท่าตามลำดับเทียบเท่าระดับ -1.0 ถึง -1.5 SD ของค่าเฉลี่ยย้อนหลังในอดีต สะท้อนราคาหุ้นที่อยู่ในโซนล่างและยังไม่สะท้อนการเติบโตของผลประกอบการ

รู้ก่อนซื้อ! 12 หุ้นอาหาร-เครื่องดื่ม ปี67 ใครปัง-พังสุด?

 

TUทูน่าลด - CPFราคาเนื้อสัตว์พุ่ง

     ฝ่ายวิเคราะห์ บล.กรุงศรี ระบุว่า ในเดือนธันวาคม 2566 ราคาปลาทูน่ายังคงมีแนวโน้มลดลง โดยแตะ 1,450 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลงจาก 1,500 เหรียญสหรัฐต่อตันในเดือนพฤศจิกายน 2566 ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อ "TU"  เนื่องจากต้นทุนปลาทูน่า คิดเป็นประมาณ 43% ของ COGS ทั้งหมด ฝ่ายฯประเมินว่าราคาปลาทูน่าที่ลดลงทุกๆ 100 เหรียญสหรัฐฯ/ตันน่าจะส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น 0.7% และกำไรหลักเพิ่มขึ้น 6% ฝ่ายฯยังคงมองในแง่ดีเกี่ยวกับการฟื้นตัวของกำไรอย่างต่อเนื่องของ TU โดยกำไรหลักเพิ่มขึ้น 11% ในปี 2567 เป็น 5.3 พันล้านบาท โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตของรายได้ 5% หนุนโดยอาหารกระป๋องและอาหารสัตว์เลี้ยง และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้น 0.7%

     จากข้อมูลของ CPF (UNRATED) ราคาเนื้อหมูเพิ่มขึ้น 1 บาท/กก mom เป็น 69 บาท/กก. ในเดือนธันวาคม และราคาไก่เพิ่มขึ้น 0.50 บาท/กก. Mom เป็น 39 บาท/กก. ส่วนกุ้งเป็นแม่คงที่ที่ 120 บาท/กก. แนวโน้มราคาหมูและไก่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นน่าจะส่งผลดีต่อ CPF (UNRATED) ซึ่งรายได้จากเนื้อหมูคิดเป็น 40% ของรายได้รวมและไก่อีก 40% 

     โดยฝ่ายฯคิดว่า "CPF" อาจขาดทุนต่อไปในไตรมาส 4/66 ถึง ไตรมาส 1/67 ซึ่งในไตรมาส 3/66 ขาดทุน 1.2 พันล้านบาท เนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ในปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาคุ้มทุน ยกเว้นไก่ ปัจจุบันราคาหมูอยู่ที่ 69 บาทต่อก.ก. ต่ำกว่าราคาคุ้มทุน 75 บาท , ราคากุ้ง 120 บาท ต่ำกว่าราคาคุ้มทุน 125 บาท และ ราคาไก่ 39 บาทต่อก.ก. ซึ่งเป็นตัวเดียวที่สูงกว่าราคาคุ้มทุนที่ 38 บาทต่อก.ก.

     นอกจากนี้ "TU" เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มอาหาร เพราะคาดว่าจะสร้างกำไรเพิ่มขึ้นซึ่งน่าจะเป็นตัวเร่งราคาหุ้นให้เป็นบวกเป็นเคาน์เตอร์ที่น่าดึงดูดที่สุดในกลุ่มอาหาร โดยมีการซื้อขายที่ต่ำกว่า BV ที่ 16.90 บาท และ P/E ปี 2567 ที่ 13 เท่า ซึ่งถือว่าถูกที่สุดในบรรดาคู่แข่งด้านอาหารไทย แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 17.50 บาท

SAPPE โค้ง 2 พีค

     ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ารายได้ของ "SAPPE" ในไตรมาส 4/66 จะเติบโต 22% yoy เป็น 1.3 พันล้านบาท ผลจากการส่งออก เพิ่มขึ้น 28% yoy โดยเฉพาะอย่างยิ่งไปยุโรป ขณะที่ในประเทศไทยการเติบโตอาจทรงตัว yoy เนื่องจากแนวโน้มการบริโภคที่ชะลอตัวในประเทศไทย ฝ่ายฯประเมินอัตรากำไรขั้นต้นจะทรงตัว qoq หรือ 46.2% เนื่องจากราคาเม็ดพลาสติก PET (วัตถุดิบหลักสำหรับบรรจุภัณฑ์) ถูกล็อคตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี66 ในส่วนของรายได้ฝ่ายฯเชื่อว่าช่วงไฮซีซั่นของไตรมาส 2/67 (ฤดูร้อน)อาจเป็นจุดสูงสุดตลอดกาลอีกครั้งเนื่องจากเป็นช่วงพีคที่สุดของปี นี่อาจเป็นตัวเร่งเชิงบวกต่อราคาหุ้น

     ส่วนกำไรหลักในไตรมาส 4/66 คาดอยู่ที่ 166 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% yoy แต่ลดลง 49% qoq เนื่องจากเป็นฤดูกาลที่ต่ำ เนื่องจากการบริโภคเครื่องดื่มน้อยลงในฤดูหนาว เราคงคำแนะนำ ซื้อ ที่ราคาเป้าหมาย 115 บาท และเชื่อว่าปัจจัยบวกจะเป็น 1) ราคา น้ำตาลที่ลดลง และ 2) ช่วงไฮซีซั่นฝยไตรมาส 2/67 (ฤดูร้อน) ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งอาจทำสถิติสูงสุดตลอดกาลอีกครั้งหนึ่ง 

     ขณะที่ราคาน้ำตาลขาลง โดยราคาน้ำตาลลดลงอย่างรวดเร็ว 28% เป็น 0.2085 ดอลลาร์สหรัฐ/ปอนด์ นับตั้งแต่จุดสูงสุดในวันที่ 6 พ.ย.2566 และเนื่องจากต้นทุนน้ำตาลมีส่วนช่วย 6% ของ COGS ทั้งหมด ฝ่ายฯคาดว่า SAPPE จะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มที่ลดลง สำหรับปี 2567 ซึ่ง SAPPE ได้ล็อกการใช้น้ำตาลไว้ครึ่งหนึ่ง (สำหรับส่วนส่งออกซึ่งสร้างรายได้ 80%) ในราคาที่คาดว่าจะสูงกว่าปี 2566 ถึง 20% (ประมาณไว้ที่ 0.23 เหรียญสหรัฐฯ/ปอนด์) น้อยกว่า 29% ( USD0.25/lbs) ในประมาณการก่อนหน้านี้ของเรา และอาจช่วยเพิ่ม upside ให้กับอัตรากำไรขั้นต้นของเรา

เป้า 92.25 บาท Div. yield 1.9%

     อย่างไรก็ตาม ฝ่ายฯยังคงประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 42% ในปี 2567 เนื่องจากยังมีความไม่แน่นอนว่าราคาน้ำตาลจะเป็นอย่างไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 เมื่อ SAPPE จำเป็นต้องปรับราคาใหม่ ฝ่ายฯประมาณการว่าทุกๆ 10% ของน้ำตาลที่ลดลงอาจส่งผลให้กำไรหลักเพิ่มขึ้น6.3% ในปี 2567

     ฝ่ายฯตรึงเป้าหมาย P/E ที่ 28.6 เท่า P/E ปี 2567 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 19x ที่ 1.5 STD ฝ่ายฯคิดว่ากำไรหลักในระยะยาวจะเติบโตที่ 26% CAGR จากปี 2565 ถึง 2568 เร่งขึ้นจาก 11% CAGR จาก ปี 2558-2565 หมายความว่าสมควรได้รับ P/E ที่สูงกว่าในอดีต P/E ปัจจุบันอยู่ที่ 23 เท่า ความเสี่ยงหลักคือราคาวัตถุดิบที่ผันผวน โดยเฉพาะน้ำตาล 

ข่าวล่าสุด

KBANK ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้สูงสุด 0.25% เงินฝาก 0.05-0.10%